เรียกได้ว่าเป็นดีลที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเทคทั่วโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งซิลิคอนแวลลีย์ Apple และ Google ที่กำลังเจรจาหารือ เพื่อนำเอา Gemini ระบบปัญญาประดิษฐ์ AI ของ Google มาใช้ใน iPhone ซึ่งจะเป็นการเน้นพัฒนาไปที่ฟีเจอร์บนตัวเครื่อง ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถการใช้งานด้วย AI ให้กับระบบปฏิบัติการ iOS 18 ผ่านการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ โดยทาง Apple ได้เห็นถึงความสำคัญของ AI จากช่วงระหว่างการประชุมผู้ลงทุนในเดือน ก.พ. ของปีนี้ที่ผ่านมา Tim Cook CEO ของ Apple ได้กล่าวว่า บริษัทมีการลงทุนใน Generative AI อย่างจริงจัง เพราะมันคือสิ่งที่มีศักยภาพทางพัฒนาการที่เหลือเชื่ออย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีรายงานว่า Apple ทั้งได้เข้าซื้อบริษัทสตาร์ทอัพในแคนาดาที่ชื่อ Darwin AI มีการจัดตั้งแผนกวิจัย Machine Learning ที่มุ่งเน้นการพัฒนา AI และล่าสุดก็มีดีลที่ Apple อาจร่วมจับมือกับ Google นำ Gemini เข้ามาสร้างความก้าวหน้าใหม่ให้กับ iPhone
ทำไมถึงต้องเป็น Gemini ของ Google?
จริงอยู่ที่ Apple ก็ซุ่มพัฒนา AI ของตัวเองที่ชื่อว่า Ajax ที่มีความคล้ายคลึงกับ ChatGPT แต่ Apple ไม่เคยวางตัวว่าจะนำ Ajax เข้ามาแข่งขันในวงการ Chatbot AI แต่อย่างใด และที่สำคัญคือ AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานี้ยังมีเทคโนโลยีที่ด้อยกว่าเจ้าที่ทำมาก่อนแล้วในตลาดอย่าง OpenAI เจ้าของ ChatGPT และ Google ที่ Ajax เอง ก็ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก Google เช่นกัน ประกอบกับทาง Apple ได้เปลี่ยน Dimension สำหรับแผนพัฒนา AI ที่เพึ่งจะยกเลิกโปรเจกต์ Apple Car รถยนต์ไร้คนขับออกไปแล้ว ทำให้คาดว่า Apple จะหันมาใช้บริการ AI จากบริษัทเจ้าอื่น อย่างการพิจารณาใช้ Gemini แทนการเริ่มพัฒนาด้วยตัวเองซึ่งยังมีเทคโนโลยีตามหลังผู้อื่นอยู่
Gemini จัดเป็น AI ประเภท Large Language Model (LLM) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างการสนทนา สร้างข้อมูลขึ้นมาผ่านการใช้ภาษาแบบมนุษย์ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลในจำนวนมหาศาล ทำการประมวลผล ตีความ วิเคราะห์เรื่องต่างๆ และสื่อสาร หรือ Generate ข้อมูลออกมาคล้ายกับมนุษย์ โดยจุดได้เปรียบที่ Gemini ได้เปิดตัวเมื่อเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่แข่งกับทาง ChatGPT ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อเลยก็เป็นเพราะ การสื่อสารกับ Gemini ไม่ใช้จำกัดเพียงแค่ในรูปแบบ Chatbot พิมพ์ถามตอบ แต่ Gemini เปรียบได้เสมือนกับมนุษย์ที่มีตามีหู สามารถประมวลผลภาพและเสียงได้อย่างเข้าใจ จึงสื่อสารได้ทั้งเสียง ภาพ และวีดีโอ โดย Gemini จะแปลงชุดข้อมูลขนาดใหญ่ดังกล่าว และสื่อสารทั้งการตอบข้อสงสัย แนะนำ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างมากมายออกมาให้กับเรา
ปัจจุบัน Gemini สามารถแบ่งได้ออกมาเป็น 3 Level การใช้งาน ได้แก่ Gemini Ultra, Pro และ Nano ไล่จากขนาดใหญ่สุดไปเล็กสุด
1.Gemini Ultra เป็นเวอร์ชั่นขนาดใหญ่ ที่มีขีดความสามารถสูงที่สุด มีชุดข้อมูลความรู้ทั้งฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ สามารถคิดหาเหตุผลคำตอบ เช่น เรื่องกฎหมาย อีกทั้งสามารถใช้งานที่มีความซับซ้อนสูง เช่น การพัฒนาระบบ AI ใหม่ๆ เป็นต้น
2.Gemini Pro เป็นเวอร์ชั่นขนาดกลางที่ใช้งานได้หลากหลาย มีความซับซ้อนในการคิดหาคำตอบ ซึ่งสามารถใช้ได้ผ่านระบบคลาวด์ และตอนนี้ Gemini Pro ก็มีให้บริการผ่าน Samsung เช่น Samsung Notes หรือ Voice Recorder ที่สรุปเสียงที่บันทึกไว้เป็นข้อความสั้นๆ โดยเปิดให้ใช้งานบนสมาร์ทโฟน Galaxy S24
3.Gemini Nano เป็นเวอร์ชั่นที่มีขนาดเล็กสุด ใช้สำหรับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเพื่อพัฒนาแอพลิเคชั่นหรือสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้ ซึ่งตอนนี้ Gemini Nano ได้มีการฝังไว้ที่สมาร์ทโฟน Google Pixel 8 และ Samsung Galaxy S24 กับฟีเจอร์ Magic Compose ช่วยเขียนข้อความตอบกลับคนที่เราติดต่อด้วย
จะเห็นได้ว่า ในสมาร์ทโฟนฝั่ง Android เริ่มมีการติดตั้ง Gemini ฝังไว้ในตัวเครื่องกันแล้ว นอกจากนี้ ทาง Google เอง ก็มีแผนผลักดันให้ Gemini ใช้งานบนสมาร์ทโฟน Android ได้ง่ายกว่าเดิม อย่างปัจจุบัน มีแอพลิเคชั่น Gemini โดยตรงออกมาให้ดาวน์โหลด เพื่อให้เข้าถึง Gemini ได้สะดวกมากขึ้น และเราคงจะได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ในฝั่งของ Android โดยเฉพาะกับทาง Sumsung ที่เล็งเอา Gemini Ultra มาใช้ในอนาคต จึงไม่แปลกที่ Apple จะหาทางพัฒนาฟีเจอร์ของ iPhone บ้าง ด้วยการพิจารณาความร่วมมือกับ Gemini เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สำหรับการบุกตลาด AI แต่อย่างไรก็ตาม ดีลที่เขย่าวงการเทคนี้ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าทั้งสองจะร่วมมือกันได้จริงหรือไม่ คงต้องรอจนถึงช่วงงานประชุมนักพัฒนาประจำปีของ Apple ในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้
ข่าวเด่น