Scoop : ลงทุนต่ออย่างไรดี เมื่อ Fed เตรียมลดดอกเบี้ยสิ้นปีนี้


ณ การประชุม Jackson Hole เมื่อปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา “เจอโรม พาวเวล” ประธาน Fed ได้ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นครั้งที่ชัดเจนที่สุดนับตั้งแต่มีการปราศรัยมา เนื่องจากภารกิจลดเงินเฟ้อที่ทำให้เริ่มขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วง มี.ค. 2565 นั้นได้เสร็จสิ้นแล้ว โดยนักลงทุนต่างคาดว่า Fed อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนที่ตอบรับในเชิงบวกทันที
 
อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่ค่อนข้างชัดเจนของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ถือเป็นการส่งแรงกระเพื่อมไปยังธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยตรง ให้มีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยตามไปด้วย โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าที่ผ่านมา มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อไป เพราะตลาดมองว่าถ้า Fed จะมีการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วและสูงกว่าธนาคารกลางประเทศอื่น ซึ่งมีอัตราการลดอยู่ถึง 2% เลยทีเดียว ใน 1 ปีข้างหน้า ทำให้แม้ธนาคารกลางประเทศอื่นจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหมือนกัน แต่จะยังลงไม่แรงเท่ากับทาง Fed ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากสหรัฐไปยังประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
 
โดยในมิติของตลาดหุ้นนั้น ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) จะมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดที่พัฒนาแล้ว ได้ทำ Performance สูงมาตลอด และทำได้ดีมากกว่าตลาดเกิดใหม่อย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับความเชื่อมั่นตามสถานการณ์ทางการเงินที่ตึงตัวทั่วโลกก่อนหน้านี้ แต่การเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลง ทำให้หุ้นขนาดใหญ่มีความน่าสนใจน้อยลง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ดังกล่าว ทำให้นักลงทุนนำเงินทุนออกจากสหรัฐไปพักในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่เติบโตได้จากการบริโภคภายในประเทศ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม รวมถึงกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมถึงหุ้นที่มีภาระหนี้สูงก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้ด้วย ส่วนตลาดหุ้นประเทศไทยก็เป็นบวกมากขึ้น ด้วยแรงส่งของสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีความมั่นคง โดยตลาดหุ้นไทยในตอนนี้มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่อง SET ขยายตัวขึ้นมาในกรอบ 1,350 จุด และมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,450 จุด
 
ส่วนฝั่งตราสารหนี้ ในตลาดตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ที่ผลตอบแทนปัจจุบันอยู่ในระดับ 3.8% ค่อนข้างทรงตัว และมีโอกาสลดลงเล็กน้อย (แต่ไม่มากนักเทียบกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ส่วนยุโรป มีการปรับลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไปก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน ภาพรวมของตลาดดังกล่าวจึงอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้นแนะนำว่า ตราสารหนี้ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (ตลาด EM) มีความน่าสนใจมากกว่า เช่น เมื่อต้นปีนี้ พันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ของไทย อยู่ที่ 2.7% ปัจจุบันลดลงมาเพียง 15 Basis Points ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับทางสหรัฐที่ลดลงมาเยอะพอสมควร จากการให้สัญญาณของ Fed ล่าสุด
 
แต่อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของตลาดเกิดใหม่ อาจจะต้องพิจารณายกเว้น ประเทศจีนไว้ก่อน เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ของจีน ตอนนี้อัตราผลตอบแทนอยู่แค่ 2.1% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เคยมีมา อีกทั้งยังเผชิญกับความเสี่ยงตกอยู่ในสถานะ "Default Bond” หรือ ตราสารหนี้ที่ผู้ออกไม่สามารถจ่ายชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้นภายในกำหนดได้
 
ทางด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุน REIT (Real Estate Investment Trust) แม้ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเผชิญความท้าทายอยู่ตลอด แต่ปีนี้นับว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก ควรเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนสินทรัพย์ประเภทนี้ เพราะตลาดกำลังกลับเข้าสู่ช่วงจุดเริ่มต้นของดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับการปรับตัวลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลบวกโดยตรงกับสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เพราะว่า การประเมินมูลค่าของตึกและโครงการต่าง ๆ จะใช้วิธีการคิดลดกระแสเงินสด (Discount Rate) เมื่อดอกเบี้ยที่ต้องเอาไปคิดด้วยนั้นลดลง จึงมีผลมากต่อราคา โดยอัตราการลดดอกเบี้ย 1-2% ก็สามารถทำให้มูลค่าโครงการสามารถปรับขึ้นได้เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
 
นอกจากนี้ ตัวของทองคำ ก็ได้รับประโยชน์จากทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองโลก (Geopolitical Risk) ที่ยังปะทุอยู่ในตะวันออกกลาง รวมถึงการที่ธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ยังมีการสะสมอยู่ต่อเนื่อง ทองคำจึงยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นระยะยาว โดยมีโอกาสขึ้นไปแตะ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ได้ในระยะใกล้ถึงกลางนี้
 
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่ควรติดตาม คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2567 ในช่วงปลายปี ที่คาดว่าจะกระทบต่อตลาดทุนในหลาย ๆ มิติ ควรเพิ่มความระมัดระวังหากยังพิจารณาลงทุนในตลาดกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ที่กำลังมีโอกาสปรับตัวขึ้นมา เช่น ในตลาดเกิดใหม่ และกลุ่มหุ้นไทย แนะนำให้นักลงทุนใช้วิธีทยอยเข้าซื้อ หรือหากมีการขาดทุนก่อนหน้านี้ในกลุ่มหุ้นดังกล่าว อาจทำการซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนอย่างมั่นคง

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 01 ก.ย. 2567 เวลา : 19:15:06
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:58 am