ตลาดหุ้นประเทศไทยตอนนี้ มีเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่เริ่มมีความมั่นคง ส่งผลให้ดัชนี SET Index สามารถบวกขึ้นมายืนเหนือ 1420 จุด จุดสูงสุดรอบกว่า 5 เดือน และมีโอกาสเคลื่อนไหวไปแตะที่ระดับแนวต้านสำคัญ 1,450 - 1,500 จุด
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนช่วงต้นเดือน ส.ค. ดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index ได้ทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี ที่ 1,270 จุด ปรับตัวลงราว 8.6% เทียบกับช่วงต้นปี(YTD) สะท้อนจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังจากที่สมาชิกวุฒิสภา ได้ร่วมกันเข้าชื่อ เพื่อส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้นักลงทุนต่างชาติมีการชะลอการลงทุนเอาไว้ก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง และพิจารณากลับเข้าไปในตลาดหุ้นอีกครั้งหลังมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านนโยบายของพรรคที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ โดยในที่สุดแล้ว วันที่ 14 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้นายเศรษฐาสิ้นสุดหน้าที่ เป็นเหตุให้ทั้ง ครม. พ้นจากตำแหน่งยกคณะ และต้องยุติการทำงานทันที ส่งผลให้หุ้นไทยในช่วงครึ่งเดือนแรกให้ผลตอบแทนที่ Underperform เทียบกับตลาดหุ้นโลกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งดัชนี SET Index มีความเสี่ยงที่จะลงไปในแนวรับถัดไป ที่ช่วงดัชนี 1,270 - 1250 จุดอีกด้วย
แต่สุดท้ายหุ้นไทย ก็ได้กลับตัวบวกขึ้นมา โดยมีไทม์ไลน์เริ่มจากวันที่ 16 ส.ค. 2567 ณ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ มีมติ “เห็นชอบ” ให้ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ด้วยคะแนนเสียง 319 ต่อ 145 เสียง ซึ่งการที่การเมืองเริ่มนิ่งขึ้น ก็ส่งผลให้ดัชนี SET Index ทะยานบวกขึ้นมา 13.16 จุด (+1.02%) ในวันเดียวกัน และเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 7 วันทำการติดต่อกัน จากนั้นเริ่มทำ Sideways แกว่งตัวออกข้างนับตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่เข้าสู่การตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยการจัดประชุมพรรคร่วมรัฐบาลจะจัดสรรโควตาตามสัดส่วน สส.ของแต่ละพรรค ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนจะคุมกระทรวงใดบ้าง รวมถึงนโยบายจากรัฐมนตรีชุดเก่าจะถูกสานต่อหรือไม่
จนกระทั่งในวันที่ 4 ก.ย. 2567 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแพทองธาร เป็นรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีในชุดใหม่ส่วนใหญ่ไม่ผิดไปจากโผชุดเดิมมากนัก กล่าวคือยังคงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในการดูแลกระทรวงต่าง ๆ ก่อนหน้า นักลงทุนในตลาดจึงมีความเชื่อมั่นว่า นโยบายต่างๆ ที่เคยเดินหน้ามาก่อนหน้านี้ในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา จะได้รับการสานต่อและเดินหน้าให้สำเร็จ ส่งผลให้ในวันต่อมา SET Index ขึ้นมาบวกอีก 38.79 จุด (+2.84%) ซึ่งยืนเหนือ 1,420 จุดได้อีกครั้งในรอบกว่า 5 เดือน โดยมูลค่าการซื้อขายหุ้นไทย เป็นนักลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิมากกว่า 7,000 ล้านบาท สอดคล้องกับทิศทางค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามปัจจัยของค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าประเทศไทย
โดยช่วงเช้าของวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นไทยยังมีการเดินหน้าบวกต่ออีก 22 จุด คิดรวมแล้ว ตั้งแต่ที่มีมติคัดการเลือกนายกคนรัฐมนตรีคนใหม่ จวบจนถึงวันดังกล่าว SET Index ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 130 จุด และมีโอกาสเจอฝ่าแนวต้านสำคัญที่ 1,450 จุด และ 1,500 จุด ซึ่งนักวิเคราะห์ในตลาดมองว่า เหตุผลที่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับมายังตลาดหุ้นไทยได้ คือ เรื่องของการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจไทย ที่จากนี้ไปจะมีการเร่ง ทั้งจากการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 (ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2567) รวมไปถึงการเร่งผลักดันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ตลอดจนถึงเรื่องของกองทุนวายุภักษ์ (มาตรการที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดทุนไทย) ที่ทางกระทวงการคลัง มีการประกาศว่าจะเริ่มเปิดให้จองซื้อหน่วยลงทุน ตั้งแต่วันที่ 16-20 ก.ย. 2567 สำหรับนักลงทุนทั่วไป ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินก้อนใหญ่กว่า 1.5 แสนล้านบาท อยู่ในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน ต.ค. นี้
ข่าวเด่น