Scoop : เศรษฐกิจจีน 2025 ยังฟื้นตัวช้า ไร้มาตรการกระตุ้นที่เพียงพอ กดดันตลาดทุนเอเชีย


 

หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดที่ตลาดหุ้นจีนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือเรื่องของความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจจีน ยังคงได้รับแรงกดดันจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่สิ้นสุด โดยที่ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมีการขยับตัวลง และคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะกินระยะเวลาไปอีก 8 ปี เป็นปัญหา Oversupply ที่ไม่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ ทำให้ภาพรวมของตลาด มีความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่โตตามเป้าหมายที่วางไว้ 5% ในปีนี้
 
จริงอยู่ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจีนมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาเมื่อช่วงกลางปี รวมถึงการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น การลดอัตราการกันสำรอง (RRR) และมาตรการอื่น ๆ ตลอดช่วงปลายเดือน ก.ย. 2567 แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นจีนได้รับแรงสนับสนุนเชิงบวกในระยะสั้นเท่านั้น เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจจีนจำเป็นที่ต้องใช้ยาแรงเพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ มากกว่าการลดดอกเบี้ยเพื่อยุติภาวะเงินฝืด
 
แม้ในช่วงวันที่ 8 ต.ค. 2567 ทางคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจของจีน มีการประกาศมาตรการสนับสนุนเชิงนโยบายเพิ่มเติม ด้วยการที่ทางรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนจำนวน 100,000 ล้านหยวน ในปี 2568  และเตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นชุดพิเศษมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน ในปีเดียวกัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ก็นับเป็นการประกาศเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่น้อยเกินกว่าความคาดหวังของนักลงทุน และไม่มีการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเสี่ยงทางการเงิน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมีความเปราะบาง เพียงแต่ด้านรัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเท่านั้น ทำให้นักลงทุนเกิดความผิดหวัง เป็นเหตุให้ตลาดหุ้นจีนร่วงทันทีกว่า 10%
 
โดยทางด้านนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่างมองว่า มาตรการที่ออกมานั้นยังไม่เพียงพอ ที่จะหยุดยั้งวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์ หรือพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ตกต่ำในประเทศจีนได้ โดยตลาดมีความคาดหวังว่าจะได้เห็นกระทรวงการคลัง มีการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเชิงรุก ด้วยประกาศการใช้จ่ายงบประมาณใหม่มูลค่า 1-3 ล้านล้านหยวน ภายในสิ้นปีนี้ สอดคล้องกับทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารยูบีเอส (UBS) ที่วิเคราะห์ว่า การใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจในมูลค่า 1.5-2 ล้านล้านหยวน จะช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ที่ตั้งไว้ 5% ได้
 
อย่างไรก็ตาม ช่วงวันที่ 12 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา มีการแถลงข่าวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังจีน ซึ่งเป็นวันที่นักลงทุนรอคอย เนื่องจากคาดหวังว่าจะได้เห็นการเปิดเผยตัวเลขวงเงินที่จะใช้ในการดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา แต่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีน ก็ไม่ได้มีการระบุเม็ดเงินที่ชัดเจนออกมา มีเพียงการประกาศถึงนโยบายที่กำลังเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณา ได้แก่ การสนับสนุนทุนการเงินแก่นักศึกษา, การเติมเงินทุนให้ธนาคารขนาดใหญ่ของรัฐ, การเพิ่มการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมาก เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น และการรักษาเสถียรภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์
 
ซึ่งการที่กระทรวงการคลังยังไม่วางรายละเอียดถึงงบประมาณที่แน่ชัด อีกทั้งมาตรการที่อยู่ในการพิจารณาโดยส่วนใหญ่ เป็นการดำเนินการของรัฐบาลท้องถิ่น ส่วนรายละเอียดภายในของการรักษาเสถียรภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่ายังต้องอาศัยนโยบายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหานี้ให้อยู่หมัด แม้ทางกระทรวงการคลังของจีนจะส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการผลักดันมาตรการกระตุ้นทางการคลังอย่างแข็งขันเพิ่มเติมในอนาคต แต่ความไม่ชัดเจนถึงจำนวนเม็ดเงินที่จะอัดฉีดเข้าระบบ ก็ยังคงสร้างความเคลือบแคลงใจในตลาดหุ้นจีน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
 
นอกจากนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีการวิเคราะห์ว่า หากจีนอยากรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5% ในอีก 2 ปีข้างหน้านั้น จำเป็นจะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านหยวน รวมถึงต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมด้วย ก็คงต้องคอยติดตามการประชุมของรัฐสภาในช่วงปลายเดือน ต.ค. นี้ ว่าจะมีความชัดเจนถึงรายละเอียดแผนการลงทุนหรือไม่ รวมถึงต้องคอยติดตามมาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์  และการบริโภคภายในประเทศ  ที่ส่งผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจจีนโดยตรง และส่งผลต่อตลาดทุนเอเชียรวมถึงตลาดทุนไทย ที่มีความยึดโยงสัมพันธ์โดยตรงกับทางจีน แม้ในระยะสั้นนี้ ที่ทางการจีนไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จะเป็นตัวสนับสนุนให้ Fund Flow มีการเกลี่ยมายังตลาดบ้านเรา (SET Index) ก็ตาม แต่ในระยะยาวจะกลายเป็นปัจจัยกดดันที่ส่งผลเสียทั่วทั้งตลาดเอเชีย หากจีนยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 ต.ค. 2567 เวลา : 20:31:43
กลับหน้าข่าวเด่น
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 12:51 am