ราคาทองคำในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2024 นี้ ได้สร้างความผันผวนให้กับตลาดทองคำ รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ เนื่องจากมีโอกาสสูงที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตัวแทนพรรครีพับลิกัน จะหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ด้วยนโยบาย America First ที่เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจในลักษณะที่โฟกัสผลประโยชนที่สหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งได้ใจประชาชนส่วนมาก ตามผลโพลล์ระยะหลัง ๆ มานี้ ที่คะแนนฝั่งของทรัมป์ นำโด่งกว่าอีกฝ่ายค่อนข้างเยอะ ทำให้ตลาดทุนเริ่มตอบรับกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้น เป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง แต่ทั้งนี้หากทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ และได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปจริง จะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ซึ่งทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า
จริงอยู่ที่นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทรัมป์ เป็นการเร่งให้มีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด ทั้งการส่งเสริมให้ธุรกิจภายในประเทศเติบโต กีดกันคู่แข่งทางการค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีน โดยการทำ Trade War มีการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) และ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT) ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นประโยชน์ของสหรัฐฯเป็นหลัก โดยไม่สนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศอื่นจากนโยบายตัวเอง หรือก็คือเป็นการมุ่งเน้นทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่ามากที่สุด
โดยในระยะแรก (Short Term) เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถูก Boost ขึ้นมา เงินจะถูกหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างคึกคัก จากการส่งเสริมธุรกิจในประเทศ และจากที่ Fund Flow ต่าง ๆ ไหลกับมายังสหรัฐฯ ที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันให้ค่าเงินประเทศอื่น ๆ รวมถึงค่าเงินบาทไทยมีการอ่อนค่าลง แต่ในระยะกลาง (Mid Term) ด้วยเงินที่สะพัดอย่างมาก จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่สภาะวะเงินเฟ้ออีกครั้ง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เกิดการอ่อนค่าลง และเสี่ยงให้ Fed หรือธนาคารกลางสหรัฐ ไม่สามารถทำการลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ต้องหยุดลดดอกเบี้ยจากที่ขึ้นสูงมาตลอดหลังช่วงโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถแบ่งเบาภาระการผ่อนของประชาชนได้ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนถูกหยุดชะงัก ผู้คนมีสภาพคล่องที่จำกัด ฉุดการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน เป็นผลกระทบทางลบในลักษณะคลื่นลูกโซ่ที่ร้อยเรียงต่อไปยังทั่วโลก
นอกจากนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ด้วยลักษณะเฉพาะตัวที่เป็นคนสุดโต่ง และคาดเดาไม่ได้ ทำให้มีความเสี่ยงในการจุดชนวนให้โลกเข้าสู่ “สงครามโดยตรง” หรือ Direct War อ้างอิงจาก ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีการเปิดเผยมุมมองความเสี่ยงหากทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐว่า มีโอกาสที่โลกจะเกิด Direct War เป็นรูปแบบสงครามที่ร้ายแรงที่สุด ไม่ใช่สงครามตัวแทนอย่างที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องความผันผวนของราคาน้ำมันที่มีโอกาสพุ่งขึ้นสูง และบั่นทอนเศรษฐกิจโลก เช่น ในสายการผลิตต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงจากระดับราคาปัจจุบันไปที่บาทละ 48,000-52,000 บาทในช่วงปีหน้า
เพราะเนื่องด้วยการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ และความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ เช่น การเกิดสงคราม และสถานการณ์เงินเฟ้อ ที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้น ผู้คนจะมีความสามารถในการบริโภคอย่างจำกัด ทำให้ลดการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และเก็บความมั่งคงทางการเงินของตัวเองไว้กับสินทรัพย์ที่เป็น Store of Value อย่างทองคำ ทั้งนี้ที่ผ่านมา ธนาคารทั่วโลกต่างสะสมทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้น นับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของการถือเงินดอลลาร์สหรัฐไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศแล้วว่า เมื่อเกิดการคว่ำบาตรขึ้นมา ก็ส่งผลเสียต่อประเทศที่มีความขัดแย้งกับทางสหรัฐอย่างยิ่งยวด อีกทั้งเมื่อราคาทองคำสูงขึ้น ตามกลไกของตลาดแล้ว เงินดอลลาร์สหรัฐจะมีการอ่อนค่าลง ฉะนั้นการตุนทองคำเอาไว้ จะสามารถปกป้องเสถียรภาพทางการเงินของประเทศเอาไว้ได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย อย่างสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ที่มีระดับความรุนแรงเป็น Direct War ที่เห็นได้ชัดที่สุด ณ ขณะนี้
นอกจากนี้ รายงานของสภาทองคำโลก ระบุว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกก็ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีปริมาณความต้องการทองคำทั้งหมด จากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาส 3/2024 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณความต้องการโดยรวมที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงความต้องการทองคำในไทยก็เพิ่มขึ้น 15% ในไตรมาสเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงการเตรียมตัวรับมือความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกท่ามกลางความไม่สงบด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคุกรุ่น และมีแนวโน้มที่ความต้องการของทองคำจะสูงมากขึ้น ผลักดันให้ราคาพุ่งสูงในปีหน้าหากทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป
ข่าวเด่น