จากแรงส่งทางบวกรอบทิศทางที่ทำให้ Ecosystem ของตลาด เหรียญคริปโตคึกคักขึ้น โดยเฉพาะการก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งของโดนัล ทรัมป์ บุคคลสำคัญที่มี นโยบายเชิงรุกในการทำให้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น ก็ได้จุดให้ราคาของเหรียญดังกล่าว พุ่งสูงทำสถิติใหม่ไม่หยุด จนตอนนี้มีมูลค่าแตะเข้าไปยัง All Time High ที่ระดับ 90,000 ดอลลาร์เข้าไปแล้ว ด้วยการฝ่าแนวต้านสำคัญนับตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. มานี้ ทำให้นักวิเคราะห์ในตลาดต่างมองว่า Bitcoin มีแนวโน้มที่มูลค่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปแตะที่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ ภายในช่วงสิ้นปี 2567 นี้
กราฟ BTC/USDT ในกระดานเทรดของ Binance
เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมานี้ ราคาของ Bitcoin ได้พุ่งขึ้นไปสู่หลัก 90,000 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรก โดยไปแตะระดับสูงสุดที่ 93,265 ดอลลาร์ ก่อนย่อตัวลงเล็กน้อย ซึ่งนับว่าตลอดช่วงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา Bitcoin มีผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 44% และราคามีการเติบโตเกิน 20% และอ้างอิงจากรายงานของ CryptoQuant แพลตฟอร์มวิเคราะห์ของมูลทางสถิติของเหรียญคริปโต ระบุว่า จำนวนของ Bitcoin ที่อยู่ในกระดานซื้อขายนั้นต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี (นับตั้งแต่ พ.ย. 2561) และนับว่าปีนี้มีการถอนเหรียญ Bitcoin ออกไปจากกระดานเทรด Binance ในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
โดยโมเมนตัมสำคัญนอกจากการอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF และการเกิด Bitcoin Halving แล้ว แรงส่งที่สำคัญอย่างยิ่งนั้นมาจากผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐอเมริกา 2024 ที่ได้ผู้ชนะอย่าง โดนัล ทรัมป์ เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 อีกครั้ง โดยทรัมป์นั้นถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนคริปโตคนสำคัญที่สุดคนหนึ่ง พิจารณาจากนโยบายการหาเสียง และทัศนคติที่ดีต่อ Bitcoin ดังที่ผ่านมา เช่น การกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นมิตรต่อคริปโตมากขึ้น อย่างการสนับสนุนธุรกิจการขุด Bitcoin ในประเทศ การวางแผนจัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติ ที่ให้รัฐบาลเพิ่มการเก็บสะสม Bitcoin เอาไว้ หรือจะเป็นการลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบที่มีต่อคริปโตลง อย่างการปฏิรูปหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงิน และการเล็งปลด Gary Gensler ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ SEC ที่บังคับใช้กฎเกณฑ์กับโปรเจกต์คริปโตหลายแห่ง ซึ่งสร้างความลำบากต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดมานั้นออกจากตำแหน่งหากเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี
ด้วยตลาดคริปโตที่ตอบรับเชิงบวกหลังได้ทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไปของสหรัฐฯ จึงได้เห็นโมเมนตัมของตลาดที่เหรียญคริปโตมีปริมาณลดลงบนกระดานเทรดอย่างมีนัยสำคัญ (โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ที่มีการถอนเหรียญ Bitcoin ประมาณ 40,000 BTC มูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านดอลลาร์ ออกจากกระดานซื้อขาย) ประกอบเข้าด้วยกับราคาของ Bitcoin ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ก็เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ด้วย Market Cap หรือมูลค่าหลักทรัพย์ของเหรียญที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับปริมาณเหรียญที่ลดลงนั้น แสดงถึงอุปทานที่ลดต่ำลงผกผันกับความเชื่อมั่นในระยะยาวที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุน ที่ต้องการจะซื้อเหรียญ Bitcoin เก็บเอาไว้ อ้างอิงข้อมูลสนับสนุนจาก Lookonchain ผู้ติดตามการทำธุรกรรมของเจ้ามือรายใหญ่ที่รายงานว่า ช่วงที่ระดับราคา Bitcoin มีการย่อตัวลงมาจากที่มีแรงขายเพื่อทำกำไรของนักลงทุนในตลาด ได้มีเจ้ามือรายใหญ่ทำการช้อนซื้อเหรียญดังกล่าวเก็บสะสมเอาไว้ ดังเช่นเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ได้มีเจ้ามือรายใหญ่ห้าคนได้ช้อนซื้อสะสม Bitcoin จำนวน 952 BTC คิดเป็นมูลค่า 83.7 พันล้านดอลลาร์เอาไว้
ความต้องการสะสมเหรียญ Bitcoin ที่เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ (อุปสงค์มากกว่าอุปทาน) นี้ จะผลักดันให้ราคาของเหรียญไปสู่จุดสูงสุดใหม่อย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดอย่าง Tom Lee และนักวิเคราะห์ของ Bernstein คาดการณ์ว่า ราคาของเหรียญสามารถพุ่งทะยานสู่ 100,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้ ตรงตามการวิเคราะห์ของ Michael Saylor ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารของ MicroStrategy เช่นเดียวกันที่คาดว่าราคาของ Bitcoin จะทะลุหลัก 100,000 ดอลลาร์ได้ในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้านี้
ข่าวเด่น