Scoop : เศรษฐกิจจีนโตช้า-กระแสไทยไม่ปลอดภัยในจีน กระทบท่องเที่ยวไทยแค่ไหน?


จากแนวทางนโยบายกีดกันการค้าของทรัมป์ 2.0 ที่ทางจีนเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการโดนตัดขาดกับตลาดสินค้าส่งออกรายใหญ่ ทำให้สถานการณ์ของเศรษฐกิจจีนในปี 2568 ยังมีความกดดันต่อเนื่อง ต่อจากช่วงปีที่แล้วที่จีนยังไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ แม้รัฐบาลจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจน GDP สามารถโตตามเป้าที่ 5% แต่มาตรการดังกล่าว เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น อุปทานที่ล้นตลาดในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัญหา และภาระหนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่อยู่ในระดับสูงยังไม่ได้รับการแก้ไข
 
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้ประเมินเศรษฐกิจจีน ว่า จะมีการฟื้นตัวเชิงวัฏจักรในปี 2568 แต่จะยังคงชะลอตัวในระยะปานกลางจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของ China Trading Desk ที่คาดการณ์ถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน (28 ม.ค. 2568 - วันที่ 4 ก.พ. 2568) ว่าจะเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศประมาณ 2.2-2.6 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าจากระดับก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 ที่เดินทางไปต่างประเทศสูงถึง 6.3 ล้านคน โดยชาวจีนส่วนใหญ่เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศหรือจุดหมายปลายทางใกล้เคียงในเอเชียที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เนื่องจากค่าเงินอ่อน ส่วนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทยที่เป็นหมุดหมายยอดฮิตของคนจีนตลอดมา ก็มีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนจากข้อได้เปรียบทั้งการยกเว้นวีซ่าและค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า
 
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ “ซิงซิงเอฟเฟกต์” ที่นักแสดงชาวจีนที่ชื่อว่า “ซิงซิง” ได้ถูกหลอกให้มาแคสต์งานที่ไทยแต่กลับถูกพาไปทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่บริเวณชายแดน
ไทย-เมียนมา เมื่อต้นเดือน ม.ค. แม้จะถูกช่วยออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันกับกระแสเชิงลบที่โหมกระหน่ำบนโลกโซเชียลมีเดียของจีน ถึงความไม่ปลอดภัยในประเทศไทย จนเกิดภาพลักษณ์ด้านลบต่อการมาท่องเที่ยวในบ้านเรา ผลที่ตามมาคือ ชาวจีนจำนวนมากที่วางแผนมาไทยก่อนหน้านี้ มีการยกเลิกทัวร์ ยกเลิกตั๋วเครื่องบิน ยกเลิกการจองที่พักจำนวนมากในเขตกรุงเทพฯ และภูมิภาค ซึ่งคิดเป็นการสูญเสียรายได้มากกว่า 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการประกาศยกเลิกการจัดคอนเสิร์ตของ Eason Chan นักร้องชื่อดังชาวอ่องกง และทางสถานทูตจีนประจำประเทศไทยยังออกประกาศเตือนพลเมืองจีนให้ระวังการหลอกลวงไปทำงานรายได้สูง และการใช้ช่องทาง ฟรีวีซ่า เพื่อเดินทางมาทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทยอีกด้วย
 
ปัญหาดังกล่าว กระทบท่องเที่ยวไทยแค่ไหน?
 
ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด ซึ่งพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย โดยประเทศจีน เป็นตลาดท่องเที่ยวที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของไทยมาโดยตลอด (อ้างอิงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี  2567 มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดถึง 6.73 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเมืองไทยทั้งหมด 35.54 ล้านคน) จากปัญหาทางเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้าก็ส่งผลให้แรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวไทยที่ลดลงอยู่แล้วลดลงอีก ซึ่งทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้มีการประเมินก่อนหน้านี้ว่า โมเมนตัมการเติบโตของการท่องเที่ยวปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2567 เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 
 
แต่การที่เกิดแรงส่งทางลบจาก ซิงซิงเอฟเฟกต์ เข้ามาร่วมด้วยนั้น ยิ่งเป็นแรงกดดันศักยภาพการท่องเที่ยวไทย ด้านศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจฯ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยกรณีนักแสดงจีนหายตัว คาดว่าทั้งปีนักท่องเที่ยวจีนลดลงกรณีแย่สุด 294,649 คน ลดลง 3.7% (จากปกติที่หากไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศจำนวน 8,019,631 ราย) มูลค่าความเสียหาย 14,290 ล้านบาท
 
ส่วนผลกระทบเบื้องต้น คาดว่ากรณีที่แย่ที่สุดจะกระทบ GDP ลดลง 0.11% แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการใช้จ่ายที่ลดลง 56.2% และผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทาน 43.8% สาขาธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่แย่ที่สุด คือ ค้าส่ง ค้าปลีก การบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และการขนส่ง

LastUpdate 26/01/2568 21:47:53 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
25-02-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ February 25, 2025, 4:44 pm