
ภาพรวมของตลาดทองคำยังคงมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากที่ตลาดโลกมีความกังวลกับนโยบาย Trump 2.0 ที่ยังคงมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งมีโอกาสส่งผลกระทบทางลบต่อภาคการค้าโลก และการเกิดขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนและกองทุนต่างเข้าซื้อทองคำเพื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ต ส่วนธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ เอง ก็มีการเพิ่มทุนสำรองในรูปแบบของทองคำมากขึ้น เพื่อช่วยรักษามูลค่าและรองรับความเสี่ยงในยามวิกฤต เช่น การเกิดปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามที่ดูจะมีโอกาสเกิดมากขึ้นในยุคของทรัมป์ ส่งผลให้ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่ตลอด และอาจขึ้นแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ณ ระดับราคา 50,000 บาท ในช่วงปี 2568 นี้
จากรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarms Payrolls) ของสหรัฐ ที่ประกาศล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2568 นั้น ลดต่ำลง จาก 3.07 แสนตำแหน่ง เหลือ 1.43 แสนตำแหน่ง และต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 1.69 แสนตำแหน่ง นอกจากนี้ รายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) ของสหรัฐรายสัปดาห์ล่าสุด ณ วันที่ 20 ก.พ. 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 2.19 แสนคน จากสัปดาห์ก่อน 2.14 แสนคน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ย่ำแย่กว่าคาด กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางอ่อนค่าลง ผกผันกับราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยในส่วนของสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์ก COMEX (Commodity Exchange) ขึ้นมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,956.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลให้เกิดสงครามการค้าทั่วโลก ทำให้นักลงทุนต่างซื้อทองคำตุนไว้ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
โดยในส่วนของทองคำไทย ตามการอ้างอิงจาก นพ. กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุข กล่าวว่า ทองคำไทยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามทองคำโลก เนื่องจากเวลาที่ทองคำโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะเกิดเป็นอันดับแรก คือ ค่าเงินบาทจะมีการแข็งค่าขึ้นมาก่อน และสักพักหลังจากนั้นทองคำไทยจะปรับตัวขึ้นตาม ซึ่งล่าสุดนี้ราคาของทองคำแท่งปรับตัวขายออกบาทละ 46,700 บาท และมีการประมาณการณ์จากตัวเลขทางสถิติ (Technical Analysis) มีโอกาสที่ทองคำโลกจะทะลุ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ และทองคำไทยทะลุบาทละ 50,000 บาท ซึ่งสามารถเป็นไปได้ภายใน 1 ปีนี้
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ที่มีการเปิดเผยมุมมองก่อนหน้านี้ว่า การที่ทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จากลักษณะการขับเคลื่อนนโยบายของเขา มีโอกาสที่โลกจะเกิด Direct War เป็นรูปแบบสงครามที่ร้ายแรงที่สุด ส่งผลทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงไปที่บาทละ 48,000 - 52,000 บาทในช่วงปี 2568 นี้ เนื่องจากในสภาวะสงครามที่มีความไม่แน่นอน พฤติกรรมของตลาดจะซื้อทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ประเภท Store of Value สำรองเอาไว้ รวมถึงธนาคารกลางทั่วโลก ก็มีการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้น เพราะนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ความเสี่ยงของการถือเงินดอลลาร์สหรัฐไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ อาจส่งผลเสียอย่างยิ่งหากมีความขัดแย้งกับทางสหรัฐขึ้นมา
นอกจากนี้ สภาทองคำโลก (World Gold Council) ก็ยังเปิดเผยข้อมูลความต้องการทองคำทั่วโลกในปีที่ผ่านมา สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยธนาคารกลางทั่วโลกมียอดรวมการซื้อทองคำตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่ 1,045 ตัน ซึ่งเป็นลักษณะการซื้อทองคำในปริมาณที่มหาศาลอย่างต่อเนื่อง ส่วนด้านความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลก (โดยเฉพาะในกองทุนทองคำ ETF) ได้เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 1,180 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 4 ปี ซึ่งก็ยังจะมีทิศทางราคาที่ Upside ขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568 นี้ จากแรงส่งสำคัญของทั้งความต้องการทุนสำรองของธนาคารกลาง และนักลงทุนจากกองทุนทองคำ ETF ดังกล่าว
ข่าวเด่น