Special Report : เม็ดเงินไหลเข้าทองคำไม่หยุด ชี้ราคาอาจแตะสูงสุดถึง 3,200 ดอลลาร์ สิ้นปี 2025 นี้


ราคาของ “ทองคำโลก” ในช่วงเวลานี้ ได้มีการพุ่งขึ้นสูงทะลุ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เรียบร้อยแล้ว เนื่องด้วยความตึงเครียดทางการค้า จากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ทั้งปีนี้จะลดลงเหลือเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น เป็นเหตุให้นักลงทุนต่างกระจายความเสี่ยง ด้วยการกักเก็บมูลค่าเอาไว้ในรูปแบบของทองคำ รวมถึงเลือกซื้อกองทุนรวมทองคำเป็นหลัก ความนิยมของสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงที่สุดในเวลานี้ ผลักดันให้แนวโน้มของระดับราคาอาจทะยานไปถึง 3,200 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในช่วงสิ้นปี 2025
 
หากดูจากสถิติที่ผ่านมา ราคาของทองคำ ได้แตะสู่ระดับสูงสุดใหม่ หรือ All Time High อย่างต่อเนื่องถึง 13 ครั้งแล้วในรอบปีนี้ นับเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า +14% จนถึงระดับปัจจุบันที่ทะลุเป้า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐไปอย่างสวยงาม โดยทาง นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) กล่าวว่า ภาพรวมราคาทองคำในตลาดโลกที่ได้ทำสถิติสูงสุดเกินกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยก็ได้ปรับขึ้นมาสู่จุดสูงสุดใหม่เช่นเดียวกัน มีปัจจัยสำคัญมาจากนโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์ รวมไปถึงสภาวะของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีการปรับตัวอ่อนค่าลง  
 
โดยการเก็บภาษีสินค้านำเข้า ทรัมป์ได้มีการเริ่มมาตรการขึ้นภาษี 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และเก็บภาษีจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 20% เมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกคิดเป็นมูลค่ากว่า 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งถัดมา ยังประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกในอัตรา 25% ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อย่างแคนาดา และเม็กซิโก อีกทั้งยังถือเป็นการยกเลิกข้อยกเว้นทั้งหมดที่ทรัมป์เคยให้ไว้กับบางประเทศที่เป็นผู้ส่งออกเหล็กเช่นกัน และล่าสุด ทรัมป์ยังขู่เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 200% กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป ทำให้ภาพของการเกิดขึ้นของสงครามการค้า ที่เริ่มด้วยการต่อสู้ระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรปเริ่มจะเห็นชัดเจนมากขึ้น จากมาตรการตอบโต้ที่เริ่มออก มาห่ำหั่นกัน ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาคการค้าโลก และเป็นความเสี่ยงต่อตลาดลงทุน
 
นอกจากนี้ ด้วยความที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงแค่ 1 ครั้งในปีนี้ รวมถึงสถานการณ์ของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ก็เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาของทองคำพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากทั้งการต้องการกักเก็บมูลค่าเอาไว้ใน Store of Value อย่างทองคำท่ามกลางความเสี่ยงของภาคการค้าโลกและการลงทุน รวมถึงกลไกของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับทองคำ ซึ่งมีผลมาจากแนวทางการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินในกองทุนทองคำ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น สะท้อนจากผลตอบแทนที่สูงขึ้นของกองทุนทองคำ พิจารณาจากข้อมูลของ มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ที่รายงานว่า กองทุนทองคำทั้ง 48 กองของไทย ได้สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง +10.49% ในปีนี้
 
โดยในสิ้นปี 2025 นี้ ทาง Goldman Sachs สถาบันการเงินระดับโลก ได้ปรับเป้าราคาทองคำที่มีโอกาสทะยานไปสู่ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพราะจะมีแรงซื้อของบรรดาธนาคารกลางเข้ามาร่วมด้วย ในขณะที่ทาง UBS สถาบันการเงินสวิสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็มีการปรับเป้าของราคาทองคำ ณ สิ้นปีนี้ สูงถึง 3,200 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า +6.67% เลยทีเดียว และในส่วนของราคาทองคำในประเทศไทยก็คาดการณ์ว่า เป้าราคาที่ระดับ 50,000 บาทนั้น คงไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

LastUpdate 16/03/2568 22:14:53 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
02-04-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 2, 2025, 7:03 am