
ทรัมป์ เรียก พาวเวลล์ เข้ามาพูดคุยตัวต่อตัว จากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ทรัมป์ได้เรียกร้องหลายต่อหลายครั้ง ด้านพาวเวลล์ย้ำจุดยืนของเฟดถึงความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการเงินที่พิจารณาตามข้อมูลทางเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา “โดนัลท์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เรียกให้ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานของเฟด เข้าประชุมแบบปะทะหน้ากันเป็นครั้งแรก ณ ทำเนียบขาว เพื่อหารือเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเติบโต การจ้างงาน และเงินเฟ้อ โดยก่อนหน้านี้ หลังจากที่ทรัมป์ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในสมัยที่ 2 และได้เปิดฉากนโยบายกำแพงภาษีมานั้น ทรัมป์ได้มีการเรียกร้องให้เฟดดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาโดยตลอด จนถึงขนาดที่ออกมาตำหนิและข่มขู่กดดันว่า การไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้สหรัฐเสียเปรียบทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างจีนและประเทศอื่น ๆ ประธานเฟดกำลังเลือกดำเนินนโยบายการเงินในทางที่ผิด ซึ่งควรพ้นออกจากตำแหน่งไปเสีย
ส่วนทางด้านของพาวเวลล์ ประธานเฟดนั้น ยังคงย้ำจุดยืนในการเป็นหน่วยงานอิสระ ที่แม้จะอยู่ภายใต้รัฐบาล แต่เฟดก็เป็นธนาคารกลางสหรัฐที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายการเงินตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อสนับสนุนการจ้างงาน และเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งจะพิจารณาบนพื้นฐานของการวิเคราะห์ที่รอบคอบ เป็นกลาง โดยการดำเนินการใด ๆ ล้วนไม่ต้องขออนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ และไม่ขึ้นตรงกับประธานาธิบดีหรือรัฐสภา หมายความว่า เฟด เป็นอิสระจากเรื่องของการเมือง และไม่สามารถใช้อำนาจของทางรัฐบาลปลดประธานของเฟดออกได้ตามอำเภอใจ
ซึ่งทำให้ขอบเขตของอำนาจทรัมป์นั้น ดูเหมือนจะหยุดอยู่แค่การออกมาป่าวประกาศและตำหนิพาวเวลล์ได้เพียงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาท่าทีของทรัมป์ถึงความต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยลงเสียทีด้วยการโจมตีประธานเฟดซ้ำ ๆ อาจเป็นเพราะความต้องการที่จะทำให้เศรษฐกิจดูดีในช่วงที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ เพราะเมื่อดอกเบี้ยต่ำลง จะเป็นปัจจัยทำให้ตลาดหุ้นพุ่ง มีเงินทุนไหลเวียนเข้าเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ประชาชนรู้สึกมั่นใจในการบริหารของเขา เป็นการซื้อใจของผู้คนที่จะช่วยให้เขากลับมาได้อีกในสมัยหน้า นอกจากนี้แล้วยังสามารถโยนความผิดเรื่องเศรษฐกิจให้กับทางเฟดได้อีกด้วย หากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง ทั้ง ๆ ที่มีปัจจัยมาจากการดำเนินนโยบายด้านการขึ้นภาษีนำเข้า ที่ทำให้สินค้าและค่าครองชีพมีราคาสูงขึ้น แต่ทรัมป์ก็จะหาทางลงได้ด้วยการโทษว่าเป็นความผิดที่เฟดไม่ยอมลดดอกเบี้ย นับเป็นการเล่าเรื่องแบบการเมือง ที่ปัดความรับผิดไปไว้ที่พาวเวลล์ดั่งที่กำลังทำอยู่ ณ ตอนนี้
ส่วนในความเป็นไปได้ของเหตุผลที่เฟดยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยในอัตราเดิมที่ 4.25%-4.50% ไปอีก 2-3 เดือน เป็นเพราะแม้ตอนนี้เงินเฟ้อก็มีทิศทางลงแล้วจากจุดสูงสุด (ตอนหลังโควิด-19 และสงครามรัสเซียยูเครน) แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ยังคงอยู่เหนือ 2% อีกทั้งช่วงต้นปี 2568 ยังเห็นว่าเงินเฟ้อมีการดีดกลับนิดหน่อย ทำให้เฟดยังไม่มั่นใจว่าสถานการณ์เงินเฟ้อสงบลงแล้ว ส่วนด้านตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่งอยู่ กล่าวคือตามปกติแล้ว หากเศรษฐกิจชะลอตัวลง แรงงานควรจะตกลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อจะยิ่งลดลง แต่ตอนนี้ตลาดแรงงานยังทรงตัวดีอยู่ แปลว่าคนยังสามารถจับจ่ายได้ ทำให้ความเสี่ยงของเงินเฟ้อยังคงอยู่
อีกทั้งปัจจัยสำคัญอย่างความไม่คงที่ของนโยบายภาษีทรัมป์ ที่มีความเสี่ยงให้เกิดผลกระทบต่อระบบการค้าระหว่างประเทศในระยะยาว โดยตอนนี้ในสหรัฐเอง ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ภายใน ที่ลุกลามจากฝ่ายบริหารไปสู่ฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ ทำให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกเกิดความเปราะบางอย่างมาก (เนื่องจากหลายประเทศยังคงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐเป็นศูนย์กลางหลัก เมื่อสหรัฐสั่นคลอน ก็ทำให้ตลาดโลกผันผวนตามไปด้วย) ดังนั้นทางเฟดจึงต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ โดยเฉพาะความชัดเจนในเรื่องนโยบายภาษีศุลกากร เพื่อการพิจารณาการดำเนินการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในระยะถัดไป
ข่าวเด่น