
ก้าวเข้าสู่การเจรจาทางภาษีครั้งที่ 2 แล้วของทีมไทยแลนด์ ที่ได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมใหม่แก่สหรัฐ ซึ่งเป็นในลักษณะข้อตกลงแบบ Win Win อีกทั้งการเจรจาก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมในครั้งนี้ยังต้องได้รับการตอบรับจากทรัมป์ ว่าการปิดดีลกับทางไทยจะเรียกเก็บภาษีในอัตราเท่าไหร่ แต่ถ้าหากยังคงอัตราเดิมที่ 36% หรือมากกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ไทยก็อาจเป็นผู้เสียเปรียบการส่งออกสินค้าในยุคต่อไป และทิ้งร่องรอยความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตรอย่างมากเลยทีเดียว
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาภาษีสหรัฐ หรือ ทีมไทยแลนด์ เปิดเผยถึงการเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ในครั้งที่ 2 ว่า ฝ่ายไทยได้มีการสรุปข้อเสนอที่ชัดเจน โดยปรับปรุงข้อเสนอจากการหารือในหลายภาคส่วน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของฝั่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมไทย ซึ่งรายละเอียดหลัก คือ ไทยยังยื่นข้อเสนอที่จะเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐมากกว่าที่เคยเสนอไว้ก่อนหน้านี้ และการยกเว้นภาษีในอัตรา 0% สำหรับสินค้านำเข้าของสหรัฐในสัดส่วน 90% ของสินค้าสหรัฐทั้งหมด (จากเดิมกว่า 60% ที่เคยเสนอไป) โดยจะทำให้มูลค่าการเกินดุลการค้าลดลงถึง 70% ภายในระยะเวลา 3 ปี นอกจากนี้ จะทำให้เกิดการสมดุลการค้าของทั้งสองประเทศเร็วขึ้นกว่าเดิมภายในระยะเวลา 5 ปี จากเดิม 7-8 ปี ตรงตามเป้าหมายหลักของสหรัฐที่อยู่บนพื้นฐานความต้องการลดการขาดดุลการค้าเป็นสำคัญ
โดยทางนายพิชัย เปิดเผยว่าการเจรจาในครั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นบวก และท่าทีจากฝั่งสหรัฐก็เข้าใจข้อเสนอของไทยเป็นอย่างดี เช่น การไม่ได้เปิดตลาดสินค้าสหรัฐในอัตราภาษี 0% สำหรับการนำเข้าสินค้าสหรัฐทั้งหมด เพราะยังจำเป็นต้องดูแลสินค้าบางประเภทที่อ่อนไหวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสินค้าการเกษตรที่สำคัญของไทย ส่วนประเด็นการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐเฉพาะบางรายการ ไทยก็เดินเกมรุกขยายขนาดเศรษฐกิจไทยและผลักดันการส่งออกไปยังตลาดโลกมากขึ้น เช่น อาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรราคาถูกจากสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย กระตุ้นผลผลิตของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารในประเทศ เป็นผลดีต่อการส่งออกไทยมากขึ้น โดยมีความคาดหวังว่าอัตราภาษีสินค้านำเข้าที่ไทยจะได้รับจากสหรัฐจะอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศในอาเซียนที่ไม่เกิน 20%
แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่เป็น 2 ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ได้ตกลงเรื่องภาษีกับทางสหรัฐแล้วนั้น เวียดนามได้รับการลดอัตราภาษีจาก 42% ลงเหลือ 20% ส่วนอินโดนีเซียจาก 32% เหลือ 19% ซึ่งแลกมากับที่ทั้งคู่ยอมลดภาษี 0% สำหรับการนำเข้าสินค้าสหรัฐทั้งหมด และแท้จริงแล้ว ความต้องการของสหรัฐก็ต้องการให้ไทยเปิดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐภาษีเป็น 0% ทั้งหมดเช่นกัน จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า การปิดดีลกับไทยด้วยอัตราภาษี 20% ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. 2568 เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แม้จะมีการรายงานว่าการเจรจาดำเนินไปได้ด้วยดีก็ตาม แต่ผลสรุปที่ต้องได้รับการตอบรับจากทรัมป์นั้นยังไม่เฉลยออกมา
และแน่นอนว่าถ้าหากสหรัฐยังไม่ตอบรับข้อเสนอของไทย และดำเนินการเก็บภาษีที่ 36% หรือในอัตราที่มากกว่า 20% ไทยจะเสียเปรียบให้กับเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ได้ข้อตกลงทางภาษีที่ต่ำกว่า ซึ่งจะแย่งส่วนแบ่งตลาดไป ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน มูลค่าการส่งออกที่ลดลง ลุกลามไปยังภาคการผลิต ภาคการเกษตรที่ชะลอตัว และกระทบต่อไปยังการจ้างงาน การบริโภคในประเทศ การลงทุน สุดท้ายก็จะกลายเป็นภาพใหญ่ที่สะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ตกต่ำลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยทางกระทรวงพาณิชย์ มีการรายงานว่า สินค้าที่ตกอยู่ในสถาการณ์น่าเป็นห่วงหากยังถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่มากกว่าเวียดนาม และอินโดนีเซีย พิจารณาจากปี 2567 พบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดสหรัฐอยู่ในอันดับที่ 5 (4.9%) รองจากเวียดนามที่อยู่ในอันดับ 4 (11.3%) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับที่ 5 (7.7%) เวียดนามอันดับ 2 (12.7%) ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 (19.3%) เวียดนามอันดับ 5 (7.3%) อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 (15.5%) เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 (24.9%) หม้อแปลงไฟฟ้า ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับที่ 3 (8.3%) เวียดนามอยู่อันดับที่ 5 (5.5%) เครื่องส่งวิทยุหรือวิทยุโทรทัศน์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับที่ 3 (11.8%) เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 1 (21.9%) เครื่องพิมพ์ใช้สำหรับการพิมพ์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับที่ 4 (10.2%) เวียดนามอันดับที่ 5 (8.5%) ของปรุงแต่งชนิดที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 (26.2%) อินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 4 (4.9%) และข้าว ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับที่ 1 (53.6%) เวียดนามอยู่อันดับที่ 5 (1.9%)
นอกจากนี้ ยังมีรายการกลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับเวียดนามและอินโดนีเซียอีกเพิ่มเติม เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร, เหล็กและเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องนุ่งห่ม ที่มีการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเหมือนกัน ดังนั้นถ้าอัตราภาษีของไทยสูงกว่า หรือเลวร้ายเป็น 36% ดั่งเดิม ก็เตรียมโบกมือลาตลาดสหรัฐไปได้เลย
ข่าวเด่น