
ความไม่ลงรอยกันระหว่างไทยและกัมพูชาในประเด็นทางวัฒนธรรม จากการทะเลาะกันไปมาในโซเชียลมีเดีย สุดท้ายก็ดำเนินมาถึงจุดแตกหักที่ใช้อาวุธปะทะกันตามแนวชายแดน แม้จะยังไม่ใช่การทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ แต่ความไม่สงบที่เกิดขึ้น กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับผล กระทบจากการปิดการค้าชายแดน การส่งออกไปกัมพูชาที่หยุดชะงัก และความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง
ความเสียหายของเศรษฐกิจไทยจากประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชานั้น ได้เริ่มจากการปิดด่านชายแดนหลายจุด ซึ่งทำให้พื้นที่เศรษฐกิจตรงนั้น ที่มีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 174,530 ล้านบาท (ข้อมูลปี 2567 จากกรมการค้าต่างประเทศ) จากที่มีคนกัมพูชาเข้ามาซื้อของ รวมไปถึงการขนส่งทางบกต้องหยุดชะงักลงทันที และจากที่ฝั่งของกัมพูชาที่ได้สะสมความเกลียดชังที่มีต่อไทยจากการปลุกปั่นทางการเมือง ก็ได้ลุกลามไปยังการเลิกสนับสนุนสิ่งต่าง ๆ ที่มาจากไทยให้ได้มากที่สุด เห็นได้ชัดจากแคมเปญ “Don’t Thai to Me” ทำให้ความได้เปรียบทางการค้าในตลาดส่งออกที่สำคัญนี้กำลังหายไป พิจารณาข้อมูลจากสภาธุรกิจไทย-กัมพูชาที่ไทยเกินดุลทางการค้าอยู่ที่ 90% หรืออยู่ที่ 89,397 ล้านบาท (จากมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งสิ้น 107,297 ล้านบาทในปี 2567) ส่วนด้านการนำเข้าในสัดส่วน 10% จากกัมพูชาเข้ามายังไทย ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการผลิตไทย ก็เสี่ยงที่ต้นทุนจะพุ่งสูงขึ้น จากห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดเกิดการชะงัก ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้
และจากสถานการณ์ล่าสุด ที่จะเรียกได้ว่าเป็นโอกาส หรือเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดกันแน่ เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ามาแทรกแซงประเด็นความขัดแย้งในครั้งนี้ โดยขู่ว่าจะไม่เจรจาการค้าเรื่องกำแพงภาษีกับทั้งไทยและกัมพูชา ถ้ายังไม่หยุดต่อสู้กัน ซึ่งแม้ทรัมป์จะมีการพูดคุยกับทั้ง ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน และ ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี โดยแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันว่าต้องการสันติภาพ แต่หลังจากนั้น กัมพูชาก็ยังไม่หยุดโจมตี โดยยังคงเปิดฉากยิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทย ทำให้การต่อสู้นั้นไม่อาจจบลงได้ง่าย ๆ ดังนั้นประเด็นการโดนเรียกเก็บภาษีสินค้าในอัตรา 36% ยังคงอาจมีผลอยู่ แน่นอนว่าด้วยการที่เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยการส่งออก และสหรัฐก็เป็นตลาดอันดับ 1 ของไทยด้วยแล้ว การเผชิญหน้ากับอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดน้อยลง และยิ่งกระทบกับการส่งออกและอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ จากที่แย่อยู่แล้ว (เสียตลาดกัมพูชา มีสินค้าจีนทะลักเข้าไทย) ให้แย่ยิ่งขึ้นไปอีก
และครั้นว่าเราจะหันไปพึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่เป็นอีกหนึ่งท่อน้ำเลี้ยงของเศรษฐกิจไทยก็ตาม แต่ความไม่สงบในแถบชายแดนไทย ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อนักท่องเที่ยว เนื่องจากไทยและกัมพูชาเป็นประเทศที่อยู่ติดกัน โจมตีกันง่าย และมีความเคลือบแคลงว่าอาจเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองหลักได้ เนื่องจากการสื่อสารทางการเมืองของทางฝั่งของกัมพูชาที่มีการขู่และประโคมข่าวก่อนหน้านี้ว่าสามารถใช้อาวุธยิงมาตกลงที่กรุงเทพได้ ซึ่งสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยและกดดันให้คนเข้ามาท่องเที่ยวไทยน้อยลง
นอกจากนี้ เรื่องของแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศ อันเป็นกำลังสำคัญทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการของไทย จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการพุ่งสูงขึ้น ที่ส่งผลกระทบทั้งรายได้กำไรชะลอตัว การปิดตัวลงของกิจการเพราะสู้ต้นทุนไม่ไหว และปัญหาด้านเงินเฟ้อที่ปะทุขึ้นจากสินค้าที่ขาดแคลนและราคาแพงขึ้น จะสร้างผลกระทบต่อการบริโภคในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติถอนเงินออกจากสินทรัพย์ไทย ซึ่งจะกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง โดยกระทบต่อราคาสินค้านำเข้าสำคัญที่แพงขึ้นอีก เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน และน้ำมัน เป็นวงจรความเสียหายที่วนเวียนอย่างไม่จบไม่สิ้นหากเหตุการณ์ความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อต่อไป
ดังนั้นในเวลานี้เราควรรับมือจากพิษเศรษฐกิจที่มีโอกาสเกิดขึ้น ด้วยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มีแผนรองรับตัวเองด้วยการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินล่วงหน้า ไม่ก่อหนี้ใหม่เพิ่ม และแนะนำว่าควรถือเงินสดติดตัวเอาไว้ ส่วนผู้ประกอบการอาจต้องมองหา Supply Chain จากที่หลากหลาย และโอกาสในตลาดใหม่ ๆ เพื่อบริหารกิจการตัวเองให้ยังคงทรงตัวต่อไปได้บนความไม่แน่นอน ณ ปัจจุบัน
ข่าวเด่น