Scoop : ราคากาแฟ กำลังแพงขึ้นทั่วโลก จากผลกระทบของสหรัฐ ที่เรียกเก็บภาษีบราซิลถึง 50%


กาแฟ เครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก ที่มีประชากรราว 1 พันล้านคน ดื่มกาแฟทุกวัน หรือเฉลี่ยประมาณ 2.25 พันล้านแก้วต่อวันเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ ราคากาแฟกำลังพุ่งสูงขึ้น จากทั้งสภาพอากาศที่เลวร้ายที่ทำให้ผลผลิตลดลง และเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากมาตรการภาษีสหรัฐ ที่ขึ้นภาษีกาแฟจากบราซิลในอัตราสูงถึง 50% ก่อเกิดผลกระทบกับกลไกต้นทุนของกาแฟไปทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ท่ามกลางอุตสาหกรรมกาแฟที่มีความผันผวน จากสภาพอากาศที่ทำให้ราคากาแฟในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าในเวลาเพียงปีเดียว ประเทศบราซิล ผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยครองสัดส่วนการผลิตกาแฟได้ประมาณ 35% ของตลาดโลกนั้น กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากทั้งภัยแล้ง อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และสภาวะฝนตกนาน ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตป้อนให้กับตลาดได้น้อยลงไป ซึ่งเป็นไปตามกลไกของอุปสงค์อุปทาน แต่ ณ ตอนนี้ บราซิลกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่จากทางสหรัฐ ที่ใช้มาตรการด้านภาษีใหม่ โดยมีการเรียกเก็บภาษีสำหรับสินค้ากาแฟในอัตรา 50% ต่างจากเดิมที่เก็บเพียง 10% เท่านั้น
 
โดยการบวกอัตราภาษีเพิ่มขึ้นถึง 40% นี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเลยก็คือ ราคาของผลิตภัณฑ์กาแฟจะพุ่งขึ้นสูงมาก เริ่มต้นจากสหรัฐ ตลาดผู้บริโภคกาแฟขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยนำเข้ากาแฟในสัดส่วน 25% จากตลาดนำเข้าทั้งหมด และเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบราซิล ที่ส่งออกเมล็ดกาแฟปริมาณ 480 ล้านกิโลกรัมต่อปีไปยังสหรัฐ ขณะที่ภายในประเทศผลิตกาแฟได้เองเพียงแค่ 1% เท่านั้น ซึ่งเมื่อผู้นำเข้าในสหรัฐต้องแบกรับภาระต้นทุนของกาแฟที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้พวกเขาต้องหันไปซื้อกาแฟจากประเทศอื่นที่ไม่ได้โดนมาตรการภาษีที่รุนแรงเหมือนบราซิล เช่น เวียดนาม โคลอมเบีย และ เอธิโอเปีย
 
โดยผลลัพธ์ต่อมาก็คือ ความต้องการกาแฟจากแหล่งผลิตประเทศอื่นจะพุ่งสูงขึ้นมาก สหรัฐและทั่วโลกจะเกิดการแย่งกันซื้อ ส่งผลให้ราคากาแฟโลกมีการปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อย่างบราซิล เมื่อสหรัฐหยุดนำเข้า จะเกิดสภาวะ “กาแฟล้นตลาดในบราซิล” แต่บราซิลไม่สามารถกระจายกาแฟไปยังตลาดทดแทนประเทศอื่นได้รวดเร็วพอ เนื่องจากข้อจำกัดด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ข้อจำกัดด้านสัญญาระยะยาว และ โควต้าการค้า ที่กีดกันการส่งออกกาแฟของบราซิลไปยังตลาดอื่น
 
ดังนั้นเมื่อรวมปัญหาที่เกิดขึ้นจากสภาวะการแย่งซื้อกาแฟในตลาดอื่น กับ สภาวะกาแฟล้นตลาดในบราซิล  จะส่งผลให้ราคาสัญญาฟิวเจอร์ (Coffee Futures) ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น เพราะนักลงทุนแห่ซื้อสัญญาล่วงหน้าเพื่อทำกำไร ซึ่งด้วยกลไกทางเศรษฐศาสตร์จากที่ตลาดกาแฟเสียสมดุลไปแล้ว จะทำให้ราคากาแฟดิบแพงขึ้น โรงคั่วกาแฟในทุกประเทศต้นทุนสูงขึ้นไปโดยปริยาย และทุกประเทศต้องจ่ายค่ากาแฟแพงขึ้น ไม่ว่าจะซื้อจากใครก็ตาม
 
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าจะเกิดความตึงเครียดทางการค้า จากค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอีกในหลายประเทศ ผลักดันให้ต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์กาแฟต่าง ๆ โดยรวมสูงขึ้นทั่วโลก อีกทั้งในบางประเทศที่มีเงินอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่นประเทศในฝั่งแอฟริกา และ ละตินอเมริกา จะต้องจ่ายมากขึ้นแม้ราคากาแฟจะคงที่แล้วก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกพ่วงขึ้นมาด้วย
 
โดยตัวอย่างผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนในตอนนี้แล้ว ก็มีทั้ง Starbucks ในญี่ปุ่นที่เตรียมประกาศขึ้นราคาเมนูเบื้องต้น 3-5% ในเดือนส.ค. ที่จะถึงนี้ ส่วนในไทย ผู้ค้าเมล็ดกาแฟต้องนำเข้าจาก Supplier ใหม่ในราคาสูงขึ้น ทำให้ร้านกาแฟต่าง ๆ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในหมวดกาแฟพรีเมียม ขณะที่เวียดนามได้ประโยชน์จากคำสั่งซื้อของสหรัฐ แต่ Supply ก็ยังไม่พอรองรับทุกคำสั่งซื้อ
 
ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นการใช้ภาษีกีดกันระหว่างสหรัฐและบราซิล แต่ตลาดกาแฟคือตลาดที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกันไปทั่วโลก เมื่อตลาดใหญ่อย่างสหรัฐ เปลี่ยนทิศทางการซื้อขาย ทำให้ประเทศอื่นถูกแย่งซื้อกาแฟ เป็นที่มาของห่วงโซ่การค้าที่เกิดการปั่นป่วน กระทบกับราคากาแฟทั่วโลก และทำให้ราคากาแฟในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปในระยะนี้

LastUpdate 30/07/2568 21:59:45 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
25-08-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ August 25, 2025, 6:11 am