.jpg)
จีน ประเทศที่เคยครองแชมป์การมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกเป็นระยะเวลานาน แต่ในทุกวันนี้ อัตราการเกิดของคนในประเทศลดลงเป็นอย่างมาก และลดลงอย่างต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน จนอินเดียสามารถแซงหน้าการมีจำนวนประชากรมากกว่าได้ในปี 2024 และนอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ทางการจีนกำลังทำทุกวิถีทางที่จะกระตุ้นให้คนแต่งงานมีบุตรมากขึ้น เพื่อรักษาความแข็งแรงทางเศรษฐกิจ ที่ยังคงอยู่บนขั้วอำนาจโลกในยุคถัดไป
การปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์หลังสงครามโลกครั้งที่สองและวัฒนธรรมครอบครัวแบบขยาย ทำให้ประชากรจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนล้น จึงต้องมีการออกนโยบายลูกคนเดียวเพื่อควบคุมประชากรไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้ทรัพยากรไม่เพียงพอและทำให้คนในประเทศเกิดปัญหาการขาดแคลนได้ แต่จนถึงตอนนี้ อัตราการเกิดที่ลดลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แม้เมื่อปี 2024 จะเป็นปีมังกรที่ชาวจีนนิยมอยากให้ลูกของตัวเองเกิดในปีดังกล่าวนั้น ทางสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า มีเด็กเกิดใหม่เพียง 9.5 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งด้วยการที่มีเด็กเกิดใหม่ลดลง ขณะที่ประชากรอายุยืนขึ้น จากคุณภาพชีวิตและเทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็เลยทำให้จำนวนของผู้สูงอายุมีสัดส่วนมากขึ้นด้วย
โดยการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของจีนอย่างเต็มรูปแบบ ที่มีประชากรอายุ 60 ขึ้นไปมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด (ตอนนี้จีนมีประชากร 1,408 ล้านคน โดยจัดเป็นประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 500 ล้านคน) ก็ทำให้จีนต้องรับภาระของสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ขณะที่ตลาดแรงงานในประเทศมีจำนวนลดลง อันส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีของจีนโดยตรง ที่กำลังรุกแข่งขันในเวทีโลก กับสหรัฐ อินเดีย และเกาหลีใต้ นับเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจระดับชาติในระยะยาว และจัดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์ ที่การแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกนั้น ทำให้คน “อยู่ในกรอบ” มากกว่า ไม่ต่อต้านรัฐง่ายเท่าคนที่เป็นโสด
ดังนั้นทางการจีนจึงทำทุกวิถีทางที่จะกระตุ้นให้คนแต่งงานมีบุตรมากขึ้น โดยทั้งการต่อต้านแนวคิดการครองตัวเป็นโสด, LGBTQ ส่งเสริมค่านิยมการแต่งงาน โดยเฉพาะในสื่อบันเทิง ละคร ที่ Romanticize การแต่งงาน การตั้งท้อง กับตัวละครที่ยังอยู่ในวัยช่วง 20 ปี อีกทั้งยังนับเป็นครั้งแรกที่จีนได้ออกมาตรการแจกเงินอุดหนุนการมีบุตรทั่วประเทศ โดยจะมอบเงินปีละ 3,600 หยวน หรือราว 16,200 บาทให้กับบุตรแต่ละคนที่มีอายุต่ำกว่า 3 ขวบ อีกทั้งผู้ปกครองจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรสูงสุดอยู่ที่ 10,800 หยวน หรือประมาณ 48,000 บาท ซึ่งโดยรวมแล้ว อาจมีถึง 20 ล้านครอบครัวที่ได้รับเงินอุดหนุนตรงนี้ และมาตรการนี้จะมีผลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ต้นปีนี้ ขณะที่ครอบครัวที่มีเด็กเกิดระหว่างปี 2022 - 2024 สามารถขอรับเงินอุดหนุนบางส่วนได้เช่นเดียวกัน
โดยก่อนหน้าที่จะมีการแจกเงินสำหรับคนมีบุตรทั่วประเทศนั้น ในหลาย ๆ เมืองของประเทศจีน ก็ได้นำร่องมาตรการแจกเงินไปแล้วเพื่อที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีลูกท่ามกลางวิกฤตประชากร โดยในเดือน มี.ค. 2025 ที่เมืองฮูฮอต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดของจีน ก็ได้เริ่มแจกเงินให้กับครอบครัวที่มีเด็กเล็กอย่างน้อย 3 คน สูงสุดคนละ 100,000 หยวน หรือว่าประมาณ 450,000 บาท ส่วนที่เสิ่นหยาง เมืองฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ให้เงินอุดหนุนเดือนละ 500 หยวน หรือราว 2,200 บาท กับครอบครัวที่มีลูกคนที่ 3 อายุต่ำกว่า 3 ขวบ นอกจากนี้ ทางกรุงปักกิ่ง ก็ได้ขอให้รัฐบาลท้องถิ่นจัดทำแผนให้เด็กนักเรียนสามารถที่จะเรียนชั้นอนุบาลได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
การออกมาตรการอัดฉีดเงินสนับสนุนการมีบุตรดังกล่าว ก็เพื่อที่จะรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจจีนที่ต้องพึ่งพาตลาดแรงงานให้สามารถรองรับอุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนนวัตกรรม ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของ GDP ประเทศโดยตรง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงในทุกด้าน ซึ่งรวมไปถึงความมั่นคงของรัฐ และการรักษาศักยภาพทางทหาร แต่อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยโดยสถาบันวิจัยประชากรอิวิวาในจีน ระบุว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงที่สุด โดยการเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่เกิดไปจนถึงอายุ 17 ปี มีค่าเฉลี่ยมากกว่า 2.4 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นโจทย์หนักของทางการจีนที่จะต้องพยายามเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากร ทั้งจากการพยายามขับเคลื่อนให้เป็นประเทศที่มีตลาดผู้บริโภคใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงการสร้างค่านิยมอื่น ๆ ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนมุมมองของคนรุ่นใหม่ให้อยากแต่งงานมีบุตรกันมากขึ้น
ข่าวเด่น