
จากปัญหาความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดน ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา แตกหักจนถึงขั้นที่รัฐบาลและประชาชนชาวกัมพูชาแบนสินค้าและการบริการทุกอย่างที่มาจากประเทศไทย ไม่เว้นแม่แต่ธุรกิจน้ำมันอย่างปตท. ก็โดนถอดป้ายก่อนครบกำหนดสัญญา การกระทำของกัมพูชาที่ดูเหมือนเป็นประเทศที่ไม่มีขื่อไม่มีแปนี้ ได้ทำให้นักธุรกิจชาวไทยเริ่มเบนเข็มไปลงทุนในลาวกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่ากัมพูชา จะเป็นประเทศในอาเซียนที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจสูง อีกทั้งทางรัฐบาลยังมอบสิทธิพิเศษด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ให้กับต่างชาติที่เข้ามาลงทุน จนมีธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในกัมพูชาสะสมถึงปัจจุบันอยู่ที่ 3,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมทุกขนาดธุรกิจตั้งแต่ สินค้าอุปโภคบริโภค ร้านอาหาร สปา คลินิกความงามไปจนถึงโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ปั๊มน้ำมัน และ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน แต่ด้วยความร้าวฉานอย่างรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น คำว่า “เจ็บแล้วจำ” ก็ดูจะเป็นคำอธิบายที่ตรงที่สุดแล้วสำหรับนักธุรกิจไทยในกัมพูชา ที่ต่างเจ็บหนักและเตรียมย้ายตลาดลงทุนไปยังอีกประเทศหนึ่งในอาเซียน ที่มีพื้นที่ติดกับประเทศไทยเช่นกันอย่างสปป.ลาว
การประกอบธุรกิจในลาว จัดเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการไทยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเราจะได้ประโยชน์จากการเปิดใช้เส้นทางรถไฟขนส่งสินค้า ลาว-จีน และลาว-ไทย ที่มาบรรจบกับทางรถไฟลาว-ไทย ที่โครงการท่าบกท่านาแล้ง ซึ่งส่งผลดีต่อต้นทุนด้านโลจิสติกส์ อีกทั้งรัฐบาลลาวมีนโยบายส่งเสริมการประกอบธุรกิจหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ MSMEs (ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย) การส่งเสริมการค้าชายแดน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ ส่วนประเด็นความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ก็จัดว่าน้อยมากหากเทียบกับกัมพูชา เพราะไทยกับลาวต่างอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ไท ที่มีภาษาใกล้เคียงกันสื่อสารกันได้ และถึงแม้จะมีวัฒนธรรมร่วม แต่ก็คงเอกลักษณ์เฉพาะของชาติตัวเอง ที่มักไม่มีปัญหาด้านการเคลมวัฒนธรรมเหมือนกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเหตุของความขัดแย้งที่มีอยู่ ณ ตอนนี้
แต่ถึงแม้จะยังไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างไทย-กัมพูชา ธุรกิจไทยก็มีการลงทุนในลาวมาอยู่ก่อนแล้ว โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการค้า ไทย-ลาว ปี 2567 (ม.ค.-ก.ค.) อยู่ที่ 176,519.05 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.55% ของการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด เพียงแต่ว่านับจากนี้เป็นต้นไป ดูเหมือนธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในลาวจะมีสเกลที่ใหญ่มากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการกระจายความเสี่ยงของนักธุรกิจและนักลงทุนชาวไทย โดยล่าสุดทางบริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด หนึ่งในกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG Energy ได้จับมือกับบริษัท มัลติเพล็กซ์ จำกัด สปป.ลาว เป็นผู้ได้รับสิทธิ์บริหารร้านกาแฟแบรนด์ PunCafe ภายใต้การบริการจัดการของกาแฟพันธ์ุไทย รุกขยายตลาดในลาวเพิ่ม 2 สาขาใหม่ ในสะหวันนะเขต และ บ้านฮ่องแก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ริมแม่น้ำโขง ใจกลางแหล่งชุมชน และสถานที่ราชการ โดยเป็นการขยายขนาดธุรกิจจากสาขาแรกที่ให้บริการบริเวณพื้นที่สถานีรถไฟความเร็วสูงเวียงจันทน์ ที่เน้นความรวดเร็วและเข้าถึงง่าย แต่ 2 สาขาใหม่เป็นการใช้กลยุทธ์ Community Hub ในคอนเซปป์ Cafe & Restaurant ที่จะมีห้องประชุมส่วนตัว ปลั๊กชาร์จไฟ และบริการ WiFi ฟรี ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในลาวที่นิยมดื่มกาแฟที่มีแบรนด์กันมากขึ้น และให้ความสำคัญกับบรรยากาศร้านแบบคาเฟ่ นอกจากนี้ บริษัทก็ยังเล็งที่จะขยายสาขาอีก 4 สาขาในปี 2568 นี้ อีกด้วย
ขณะที่อีกหนึ่งธุรกิจที่ขยายสเกลมาเป็นขนาดใหญ่ นั่นก็คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งทาง บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ Gulf ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแบบครบวงจรยักษ์ใหญ่ของไทย ได้ประกาศทุ่มเงินกว่า 128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท เข้า Take Over โรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Lay ขนาดกำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์ ในสปป.ลาว ภายใต้ในนามของบริษัท Gulf Hydropower Holding Private Limited ได้มีการเข้าซื้อหุ้นส่วน 60% และอีก 40% ภายใต้บริษัท Pak Lay Power Company Limited ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าลงทุนในสัดส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 100% เลยทีเดียว โดยโครงการดังกล่าว จะเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานน้ำ ที่จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญที่จะส่งตรงไปยังภูมิภาคได้ต่อไป
สัญญาณการย้ายพื้นที่การลงทุนของธุรกิจไทยไปยังลาว จากการขยายสเกลการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นนี้ ก็ดูเหมือนว่านับต่อจากนี้ เราคงได้เห็นทุนไทยไหลเข้าไปยังลาวอีกหลากหลายรูปแบบ หลากหลายขนาดธุรกิจ ซึ่งสามารถทดแทนตลาดกัมพูชาไปได้บ้าง แต่ด้วยขนาดเศรษฐกิจของลาวที่ยังเล็กกว่ากัมพูชา ก็คงจะเป็นโจทย์ให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนชาวไทยในการเสาะหาตลาดแห่งโอกาสในประเทศอื่นเพิ่มเติมต่อไป เพื่อที่จะไม่ต้องก้าวเท้ากลับไปหาตลาดที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงอย่างกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง
ข่าวเด่น