
สร้างความปั่นป่วนอีกแล้ว สำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงทะลุระดับราคาที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐทันที แสดงถึงความตกใจของตลาดทองคำต่อความต้องการปรับโครงสร้างการค้าโลกใหม่ของทรัมป์ ที่กระทำการอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในครั้งนี้
สำหรับทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม ไม่เคยถูกเรียกเก็บภาษีมาก่อนในรัฐบาลของทรัมป์ แม้ว่าการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 นี้ ทรัมป์ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff เพื่อผลประโยชน์ต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมของสหรัฐ ซึ่งได้เขย่าการค้าโลกไปแล้ว อีกทั้งยังเคยมีการประกาศว่าทองคำแท่งจะได้รับการยกเว้นภาษีไปแล้วด้วย เช่นเดียวกับทางด้านทำเนียบขาว ก็ได้มีการกล่าวว่าจะยกเว้นการเก็บภาษี 50% กับโลหะทองแดงที่ผ่านการถลุง ทำให้ฟิวเจอร์สทองแดง หรือสัญญาการซื้อขายทองแดงล่วงหน้าในสหรัฐร่วงลงอย่างหนัก และผู้ค้าทองคำก็ต่างคาดการณ์ว่า ทองคำก็จะเป็นอีก 1 รายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นทางภาษีเช่นกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อยู่ ๆ ทางสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ (CBP) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ก็ได้ออกจดหมายระบุว่าทองคำจัดอยู่ในรหัสภาษีใหม่และอาจต้องเสียภาษีนำเข้ารวม 39% โดยหลังการประกาศก็ทำให้ ฟิวเจอร์สทองคำใน Comex ตลาดฟิวเจอร์สทองคำใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกพุ่งขึ้น “ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์” ที่ราว 3,534 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทันที
โดยอัตราภาษีทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม ที่อาจต้องเสียภาษีนำเข้ารวม 39% มาจากผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ และ สวิตเซอร์แลนด์ (ประเทศที่ทองคำแท่งขนาดดังกล่าว เป็นสินค้าหลักในกลุ่มการส่งออกไปยังสหรัฐ) ได้อัตราภาษีที่โดนเรียกเก็บสูงสุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วถึง 39% ซึ่งท่ามกลางความไม่ชัดเจนของทรัมป์ เลยทำให้มีการคาดว่าทองคำแท่งขนาดดังกล่าว จะเป็นอีกสินค้าที่โดนภาษีในอัตรา 39% อ้างอิงตามประเทศผู้ส่งออก โดยในตอนนี้นักวิเคราะห์หลายคน รวมถึงทาง Goldman Sachs วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติอเมริกัน ก็ได้มองแนวโน้มว่าราคาทองคำจะยังเป็นขาขึ้นต่อ โดยคาดว่าราคาจะพุ่งไปที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในปี 2025 และบางสำนักชี้ว่ามีโอกาสไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เลยทีเดียว
ส่วนสาเหตุที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าทองคำนั้น มีการคาดว่าเป็นการใช้ทองคำเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่มุ่งกดดันสวิตเซอร์แลนด์ ให้เปิดโต๊ะเจรจาใหม่กับสหรัฐในประเด็นการค้าหรือภาษีอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ รวมถึงอาจตัดเส้นทางทองคำจากรัสเซียรวมถึงตลาดสีเทา เพราะช่วงที่มีการคว่ำบาตรทองคำรัสเซียในปี 2022–2023 มีรายงานว่าทองคำบางส่วนถูกส่งไปกลั่นใหม่ในประเทศที่ไม่ถูกคว่ำบาตร (รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์) แล้วจึงส่งต่อไปตลาดโลก ดังนั้นการเก็บภาษีทองคำแท่งอาจเป็นวิธีหนึ่งในการกีดกันทองคำที่ “มีความเสี่ยง” หรือมีแหล่งกำเนิดจากรัสเซียไม่ให้เข้าสหรัฐ
นอกจากนี้ยังถือเป็นการสร้างกระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism) จากการที่ทรัมป์มักจะชูแนวคิด “America First” และต่อต้านการพึ่งพาทรัพยากรสำคัญจากต่างชาติ แม้ทองคำแท่งจะไม่ได้ใช้ในอุตสาหกรรมรายวัน แต่มีความสำคัญต่อสถาบันการเงินและสินทรัพย์สำรอง และการประกาศเก็บภาษีทองคำในเชิงสัญลักษณ์ อาจทำให้ฐานเสียงมองว่าทรัมป์สามารถคุมทรัพยากรทางการเงินของชาติ และปกป้องตลาดภายในประเทศได้
อย่างไรก็ตาม แม้อาจจะยังมีเหตุผลซ่อนเร้นทางการเมืองภายในอื่น ๆ ในการประกาศการขึ้นภาษีทองคำครั้งนี้ แต่ด้วยความไม่ชัดเจนว่าทองคำแท่งขนาดอื่น ๆ โดยเฉพาะทองคำแท่งขนาด 400 ออนซ์ ซึ่งเป็นประเภทที่มีการซื้อขายมากที่สุดในลอนดอน จะต้องเสียภาษีด้วยหรือไม่นั้น ก็ยังต้องคอยติดตามรอความชัดเจนจากรัฐบาลสหรัฐ หากมีการออกคำสั่งยืนยันภาษี เราอาจเห็นราคาทองคำขึ้นต่อ แต่ถ้ามีการยกเว้นภาษีทองคำแท่งบางขนาด หรือมีการยกเลิก ก็อาจทำให้ราคาทองคำมีการชะลอตัวลงตามกลไกของตลาดทุน
ข่าวเด่น