Special Report : กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% ความหวังกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทย


สำหรับผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4/2568 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันทีนั้น เป็นไปในทิศทางที่ผ่อนคลายลงของมาตรการทางการเงิน เพื่อที่จะสนับสนุนและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยให้กลับสู่ความมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จากที่เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลากหลายด้านในตลอดช่วงปี 2568 มานี้
 
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ได้เปิดฉากปะทะกับมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ที่กดดันประเทศคู่ค้าทั่วโลกเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐเอง จนทำให้การค้าโลกเกิดความปั่นป่วน เช่นเดียวกับการเสียเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยในไทยถือได้ว่าการโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากตลาดลูกค้ารายใหญ่นี้ ได้ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ที่เป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของทั่วทุกภูมิภาคไทยถึง 70% ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ
 
กล่าวคือ ทางคณะกรรมการฯ มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75 % เป็น 1.50 % ต่อปี ก็เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทานของฝั่งธุรกิจเป็นหลัก ไม่ใช่จากอุปสงค์ของผู้บริโภคในประเทศ โดยผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐ ทำให้รายได้ของภาคการส่งออกและการผลิตซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของ GDP ไทยชะลอตัวลง ยิ่งไปกว่านั้นในภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทั้งจากการขึ้นภาษีของสหรัฐที่ทำให้อำนาจการใช้จ่ายของคนทั่วโลกลดลงแล้ว ไทยยังเผชิญกับการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พ่วงมากับปัญหาของคอลเซนเตอร์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนมีความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อการท่องเที่ยวในไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่แสดงออกมายังการหดตัวต่อเนื่องของสินเชื่อตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น ส่วนคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย
 
ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ก็ยังมีการปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ โดยถึงแม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะคงอยู่ในระดับต่ำจากปัญหาของฝั่งอุปทานก็ตาม แต่การบริโภคภาคเอกชน หรืออุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่ลดลงและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลงจากปัญหาที่กระทบมายังภาคการจ้างงาน โดยเฉพาะแหล่งจ้างงานจาก SMEs ที่มีบทบาทสำคัญต่อ GDP ในสัดส่วนที่สูงถึง 35% ดังนั้นการสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบางอย่างการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ที่จะก่อให้เกิดขยายตัวของสินเชื่อ มีการกู้ในการประกอบธุรกิจมากขึ้น เกิดการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท (เช่นผลตอบแทนพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้น) หรือก็คือเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะผลักดันให้เกิดเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่มากขึ้นนั่นเอง
 
ส่วนในปีครึ่งปีหลังไปจนถึงปี 2569 นี้ เศรษฐกิจไทยก็ยังจำเป็นต้องได้รับการประคับประคองอยู่ ซึ่งภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของ กนง. ก็ยังมีแนวทางที่จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในระยะข้างหน้าอีกต่อไปเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านความท้าทายจากความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้านไปให้ได้

LastUpdate 17/08/2568 19:50:04 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
24-08-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ August 24, 2025, 9:34 pm