
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากัมพูชา เป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญของภาคการส่งออกและการเติบโตของธุรกิจไทย เนื่อง จากมีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึง ได้รับอิทธิพลด้านสื่อจากไทยสูง เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ติดกัน และยังเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจอีกมาก แต่ด้วยระดับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจนแทบจะเป็นศัตรูกันอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้กัมพูชาปิดประตูทางการค้ากับไทย และช่องว่างของตลาดตรงนี้จึงเป็นที่หมายมั่นในสายตาเวียดนาม ที่หวังจะเข้าแทนที่สินค้าของไทย
เนื่องด้วยกัมพูชา เป็นประเทศที่เศรษฐกิจจำเป็นต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติเป็นอย่างมาก ประชากรส่วนใหญ่ของกัมพูชาทำงานในภาคเกษตรกรรม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของกำลังแรงงานทั้งหมด อีกทั้งยังขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อกำลังการผลิต ดังนั้นอุตสาหกรรมการผลิตส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในกัมพูชาเป็นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าต่ำ เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้า และยังมีความสามารถในการผลิตที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทยสามารถเข้าไปเปิดตลาดในกัมพูชาด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ไล่ตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภค (เป็นตลาดส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญของไทย) ร้านแฟรนส์ไชส์ของไทย ธุรกิจ Large Scale อย่างโรงพยาบาล โรงแรม ธุรกิจน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และบริการทางการเงินเลยทีเดียว
ซึ่งด้วยดุลทางการค้าที่ไทยได้เปรียบกว่า 90% หรืออยู่ที่ 89,397 ล้านบาท (จากมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งสิ้น 107,297 ล้านบาทในปี 2567) ตามข้อมูลของสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา และยังเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 4 ที่ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าถึง 109,163 ล้านบาท มูลค่าการค้าขนาดใหญ่ที่ไทยเสี่ยงที่จะเสียไปแล้วนี้ กำลังเป็นโอกาสทางธุรกิจของเวียดนาม ที่เตรียมรุกตลาดกัมพูชาอย่างหนัก เพื่อหวังแทนที่ตลาดสินค้าไทยที่หายไป
กัมพูชามีพรมแดนที่ติดกับ 3 ประเทศหลัก ๆ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว และเวียดนาม เมื่อไทยโดนแบนไปแล้ว ส่วนลาวก็ไม่มีศักยภาพพอที่จะส่งออกสินค้า ดังนั้นจึงเป็นนาทีทองของเวียดนาม ที่ ณ เวลานี้ไร้คู่แข่งแล้ว โดยทางสำนักข่าว Khmer Times ของกัมพูชา ระบุว่าตอนนี้สินค้าแบรนด์เวียดนามสามารถแย่ง Market Shares ในตลาดกัมพูชาได้หลายอย่างแล้ว โดยเฉพาะสินค้าอาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น นม ช็อคโกแลต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์ Vifon, Acecook และ Vi Huong นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนจากบริษัท Infrastucture รายใหญ่ของเวียดนาม เช่น Viettel, BIDV, Hoang Anh Gia Lai และ Vietnam Rubber Group เข้าไปลงทุนที่กัมพูชาในจังหวะเวลานี้ด้วย
โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของไทยในกัมพูชาที่มากถึง 25% พิจารณาจากสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังกัมพูชา 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.เครื่องดื่มต่าง ๆ 2.น้ำแร่และน้ำอัดลม 3.เครื่องยนต์สันดาปภายในและส่วนประกอบ 4.ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ และ 5. สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่น ๆ ก็คาดว่าเวียดนามจะเตรียมรองรับการส่งออกสินค้าเหล่านี้ให้กัมพูชา โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่สามารถเข้าแทนที่สินค้าไทยได้ทันที เนื่องจากเป็นที่ถูกใจชาวกัมพูชา แม้ว่าจะมีประเทศอื่นอย่างมาเลเซียเข้ามาตีตลาดด้วยก็ตาม แต่ไม่สามารถสู้สินค้าเวียดนาม ได้
สำหรับประเทศไทยที่เสียส่วนแบ่งทางการตลาดในกัมพูชา คิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 14,000 ล้านบาทต่อเดือน ตามการประเมินจากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย และทางบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASP) ได้ประเมินความเสียหายใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมของบริษัทจดทะเบียนในไทย ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม, โรงไฟฟ้า, โรงพยาบาล, กลุ่มพลังงาน, กลุ่มมีเดีย, การค้าปลีก, กลุ่มก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มเกษตรอาหาร นอกจากนี้ยังส่งผลต่อธุรกิจรายเล็กตามการค้าแนวชายแดนที่หยุดชะงักอีกด้วย ดังนั้นโจทย์สำคัญของไทยในเวลานี้ คงต้องพิจารณาแหล่งลงทุนใหม่ เพื่อกู้คืนส่วนแบ่งทางการตลาดที่เสียไปให้ได้
ข่าวเด่น