
"หนี้สาธารณะ" หนึ่งในปัญหาใหญ่ระดับโลกที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน หนี้สาธารณะทั่วโลก หรือ Global Debt คิดเป็นสัดส่วนถึง 93% ของ GDP และประเทศที่ดูน่าเป็นห่วงมากที่สุดก็เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากสหรัฐอเมริกา ที่มีภาระหนี้ และการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อประกอบกับปัญหาในตลาดแรงงาน และภาพรวมของเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอ ทำให้ความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์นั้นลดลง และอาจเสื่อมค่าไปพร้อมกับอำนาจทางเศรษฐกิจโลกที่จะเลือนหายไปในอนาคตอันใกล้
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศพี่ใหญ่ที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจโลกผ่านขนาดเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่ที่สุด โดยการใช้ “เงินดอลลาร์สหรัฐ” เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก ด้วยวิธีที่สหรัฐตั้งตัวเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยอมขาดดุลทางการค้า และรับซื้อของจากประเทศอื่น ซึ่งจะใช้เงินสกุลดอลลาร์จ่ายเป็นค่าตอบแทนให้ จากนั้นก็จะแนะนำให้เอาเงินดอลลาร์ที่ได้มาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เช่น หากประเทศไทยที่ทำการส่งออกสินค้าให้กับสหรัฐและได้เงินดอลลาร์มา ไทยก็จะเอาเงินดอลลาร์นั้นแลกกลับมาเป็นพันธบัตรรัฐบาล เพื่อหวังที่จะได้รับผลตอบแทนตามที่ประเทศพี่ใหญ่ให้สัญญาเอาไว้
ดังนั้นเองเศรษฐกิจของสหรัฐ จึงถูกขับเคลื่อนด้วย “หนี้” ซึ่งก็คือ “พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ” หรือ Bond Yields มาใช้อัดฉีดเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจให้เกิดการหมุนเวียนในระบบ ผ่านการชักจูงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกว่าพันธบัตรรัฐบาลของประเทศตน คือ สินทรัพย์ที่มั่นคงและปลอดภัย ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ที่ผลักดันให้สหรัฐมีสถานภาพเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้บทบาทของเงินดอลลาร์ได้กลายเป็นสกุลเงินสำรองของทุกประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม หนี้ก็ไม่ใช่มูลค่าทางเศรษฐกิจที่แท้จริง และในตอนนี้สหรัฐกำลังก่อหนี้เกินความจำเป็น ที่ระดับหนี้สาธารณะพุ่งทะยานกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 122% ของ GDP ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีมูลค่าหนี้สาธารณะมากที่สุดในโลก และไม่เพียงแค่นั้น สหรัฐมีการก่อหนี้เพิ่ม 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในทุกไตรมาส ทำให้เพดานหนี้สูงขึ้นมากอย่างน่าหวาดเสียวจนสามารถเรียกได้ว่าตอนนี้ สหรัฐกำลังเข้าสู่กับดักหนี้แบบ Debt Spiral เป็นที่เรียบร้อย
กล่าวคือ ในช่วง 2–3 ปีให้หลังมานี้ นักลงทุนต่างชาติและธนาคารกลางหลายแห่ง ลดการถือพันธบัตรสหรัฐ และหันไปถือทองคำแทน เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องเสถียรภาพการคลังของสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ทำให้ราคาพันธบัตร (Bond) ตก คนขาดทุน รวมถึงการที่ดอลลาร์ถูกใช้เป็นอาวุธในการคว่ำบาตร ทำให้หลายประเทศเริ่มไม่อยากพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินสำรองของประเทศตัวเองแล้ว ยิ่งเมื่อเกิดสภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังอ่อนแอลง ก็ทำให้การถือครอง Bond สหรัฐมีอัตราที่ลดลงเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางของประเทศหรือกองทุนต่าง ๆ ซึ่งหันมาแทนที่ด้วยการซื้อทองคำกันมากขึ้น ตรงนี้เองจึงเป็นปัญหาที่ย้อนกลับมาทำร้ายสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐไม่มีเงินมาหมุนหนี้ จนหนี้มันเกิดการเติบโตขึ้น ทำให้สหรัฐจำเป็นต้องมีการออก Bond เพิ่มและเสนอผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อดึงคนกลับมาลงทุนอีกครั้ง และเพื่อเอาไปจ่ายดอกเบี้ยหนี้ (ไม่ได้เอามาจ่ายเงินต้น) แต่ล่าสุดนี้เองในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา การขาย Bond ของสหรัฐ เกิดการ Low Over หรือการที่ผลตอบแทนของ Bond นั้นต่ำจนไม่น่าสนใจในตลาดลงทุน (ขายไม่ออก) จนต้องให้กระทรวงการคลังเข้าไปอุ้มซื้อถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอกย้ำถึงสภาวะหนี้วนลูป ที่สหรัฐมีการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุด
ซึ่งทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ การเพิ่มการจัดเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น ตรงนี้เองจึงเป็นที่มาที่ทางโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐออกนโยบายจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าหรือ Tariffs ในอัตราที่รุนแรงกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อหาเงินมาแก้วิกฤตหนี้ของประเทศตัวเอง แต่แล้วปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะด้วยสภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นอ่อนแอจากหลาย ๆ ปัจจัยรุมเร้า ทำให้มีความจำเป็นต้องรักษาในส่วนของภาคการลงทุนในสหรัฐ ด้วยการที่ Fed จำเป็นต้องมีการลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้น Sentiment ในภาคการลงทุน แต่ก็มีแนวโน้มว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้ไม่มากนัก เพราะ ถ้าลดดอกเบี้ยลง ก็จะยิ่งทำให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐขายออกได้ยากขึ้นอีก
ดังนั้นแล้ว ในตอนนี้ที่เราเหมือนเห็นตลาดหุ้นกำลังสร้างระดับ All Time High อยู่ทุกวัน แต่ความจริงแล้วเงินหมุนเวียนของโลกมันไม่ได้มีสภาพคล่องขนาดนั้น และการลดดอกเบี้ยของ Fed ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นการลดเชิงเทคนิคเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นดังกล่าว และจากนั้นก็อาจจะกลับเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นอีกครั้ง โดยถ้าหากอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นถึง 7% เมื่อไหร่ มีโอกาสทำให้เกิด Bond Shocked ทั่วโลก (อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นทั่วโลก) จนคนส่วนใหญ่ไม่สามารถออกมาจากวงจรของหนี้ได้เลย
ข่าวเด่น