
ยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ได้ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์เกิดการปรับเปลี่ยนไปในหลายรูปแบบ ตามครรลองของสิ่งอำนวยความสะดวกที่เข้ามาผ่านการเติบโตทางเทคโนโลยี ซึ่งการจับจ่ายใช้สอย ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีวิวัฒนาการเช่นกัน จากการที่คนเราจำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่ตลาดที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายสินค้าต่างๆ มาในตอนนี้เราสามารถเชื่อมต่อกับตลาดในรูปแบบออนไลน์ เปิดสมาร์ทโฟน คลิกหาสินค้า นำใส่ตะกร้า กดจ่ายเงิน ก็เตรียมรอรับของที่จะส่งมาให้จากทางบ้านได้เลย
ยิ่งกับคนไทยด้วยแล้ว ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ใช้เวลาออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ก็คงจะนับรวมเวลาไปกับการช้อปปิ้งออนไลน์ที่คนไทยนั้นติดอันดับการซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย โดยไปในทิศทางการเติบโตของตลาด E-Commerce ในประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งในปี 2024 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท ขยายตัวขึ้น 14% ขณะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ 12% รวมถึงยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดในภูมิภาคดังกล่าวประมาณ 14% ซึ่งถือว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญไม่น้อย และไม่ได้เป็นตัวเล็กเลยในตลาด E-Commerce ของอาเซียน
โดยในประเทศไทยเองนี้ พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์มีการไต่ระดับที่เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 2025 นี้ ยอดขายสินค้าบน E-Commerce คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยเลยทีเดียว ซึ่งปัจจัยที่คนไทยหันมาช้อปปิ้งออนไลน์กันเยอะขนาดนี้ หลัก ๆ ก็มาจากโครงสร้างของเศรษฐกิจในประเทศ ที่การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตจากเครือข่าย 5G นั้นครอบคลุมไปทั่วประเทศ อีกทั้งคนไทยยังสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนเกือบ 90% ของประชากร ทำให้คนไทยนั้นมีช่องทางในการทำธุรกรรมทางออนไลน์เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
ส่วนในระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ก็เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้ E-Commerce ในไทยโตไว และทำให้คนไทยพร้อมใจกันสั่งของจากทางช่องทางนี้ เพราะจากโครงสร้างพื้นฐานในเมืองและต่างจังหวัดที่มีถนนหนทางเตรียมพร้อมอยู่แล้ว และด้วยการแข่งขันที่สูงระหว่างผู้ให้บริการในประเทศ (Kerry, Flash, J&T, Best Express, ไปรษณีย์ไทย ฯลฯ) ทำให้มีการทุ่มโปรโมชั่นค่าส่งถูกแข่งขันกัน ไปจนถึงการส่งฟรี ซึ่งก็จูงใจลูกค้าให้เกิดการสั่งซื้อเพราะต้นทุนนั้นถูกกว่าการเดินทางไปซื้อเอง และเมื่อมีคนไทยสั่งซื้อของออนไลน์บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น ด้วยปริมาณพัสดุที่สูง ก็ยิ่งทำให้บริษัทขนส่งเหล่านี้ยิ่งมี Economies of Scale มากขึ้น เมื่อผนวกกับการลงทุนของ E-Commerce Platform รายใหญ่อย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop ก็ยิ่งสนับสนุนค่าส่งไปจนถึงโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า ทำให้กิจกรรมทางระบบโลจิสติกส์ของไทยนั้นเกิดการ Support ต่อการช้อปปิ้งออนไลน์ในประเทศไปโดยปริยาย
และที่สำคัญ ระบบการชำระเงินของไทยนั้นมีความยืดหยุ่นอย่างมาก ทั้งการเก็บเงินปลายทาง (COD) QR PromptPay E-Wallet การตัดบัตรเครดิต รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ร่วมมือกับ Platform เช่น SPay Later ด้วยพื้นฐานการให้บริการทางธนาคารที่มีเสถียรภาพของไทย ก็ยิ่งทำให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงการช้อปปิ้งออนไลน์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ด้วยการที่คนไทยมีการเสพสื่อออนไลน์เยอะ ทำให้คอนเทนต์ขายของต่าง ๆ ไปจนถึงการไลฟ์สด ก็ได้รับการเข้าถึงมากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับวัฒนธรรมการซื้อของเพื่อความสุขของคนไทยที่บรรดาร้านค้าต่างขยันสร้างแคมเปญ ลด แจก แถมด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจซื้อนั้นเป็นไปอย่างง่ายดาย
ซึ่งด้วยความคึกคักของการซื้อของออนไลน์ของคนไทย ก็ยิ่งผลักดันให้เกิดการเติบโตของ E-Commerce ในประเทศ จากการดึงดูดให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ที่อยากขายได้มาเจอกัน ซึ่งเมื่อคาดการณ์มูลค่าตลาด E-Commerce ในไทย ก็มีโอกาสที่จะเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2030 ได้ง่าย ๆ และคาดว่าจะผลักดันให้เกิดธุรกิจทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามารองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้จนเกิดการเติบโตและเป็นกำลังสำคัญของ GDP ประเทศเลยก็เป็นได้
ข่าวเด่น