Scoop : เตือนภัยสแกมเมอร์ในคราบ "มูลนิธิรับเงินบริจาค" ที่ใช้ความใจดีของคนไทยเป็นเครื่องมือ


ทุกวันนี้บ้านเมืองของเรา กำลังเผชิญเข้ากับภัยคุกคามด้านทุนสีเทาและอาชญากรรมทางออนไลน์อย่างหนักหน่วง โดยได้สร้างความเสียหายให้กับคนไทยกว่า 3.8 แสนราย หรือตีเป็นวงเงินที่สูญเสียกว่า 5.2 หมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว ซึ่งหนึ่งในรูปแบบที่ สแกมเมอร์นิยมใช้มากที่สุดก็คือ การใช้ความใจดีของเหยื่อเป็นเครื่องมือในการหลอกให้โอนเงิน โดยมาในคราบของคนในครอบครัว หรือคนสนิทที่ต้องการความช่วยเหลือ และโมเดลสูตรสำเร็จนี้เองก็ได้ถูกใช้เพื่อการก่ออาชญากรรมทางการเงินไปอีกในหลากหลายมิติ จวบจนมาถึงการมาในคราบของคนดีช่วยเหลือสังคม และการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์ด้วย “การขอรับเงินบริจาค” ก็เป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ที่สแกมเมอร์ได้เข้ามาหาผลประโยชน์โดยใช้ความใจดีของคนไทยเป็นเครื่องมืออีกตามเคย
 
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภัยความมั่นคง หรือการโดนรุกรานทางอธิปไตย ที่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของคนหมู่มาก ไปจนถึงมรดกทางวัฒนธรรม ผืนแผ่นดิน และอะไรก็แล้วแต่ที่ยึดโยงกับอัตลักษณ์ของไทย มันจะเป็นเวลาที่คนไทยด้วยกันมักอยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ หรือร่วมขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง ซึ่งการเกิดขึ้นของ “มูลนิธิ” ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มาตอบสนองการมีจิตสำนึกทางสังคมนี้ โดยสามารถเข้าจัดการกับภัยที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในรูปแบบปัจเจกบุคคล ผ่านวิธีการรับ “บริจาค”ที่มักจะเป็นวิธีการหลักของการรวบรวมความช่วยเหลือดังกล่าว ทั้งในมิติของอาหาร สิ่งของจำเป็น และเงิน
 
แต่เมื่อใดที่มีเรื่องของเงินมาเกี่ยวข้อง ก็มักจะมีคนบางกลุ่มมองเห็นเป็นโอกาสที่จะหาผลประโยชน์เข้าตัว โดยเฉพาะเรื่องที่ควรจะบริสุทธิ์ใจอย่างการบริจาค กลับกลายเป็นช่องทางยอดนิยมในการก่ออาชญากรรมทางการเงิน เช่น การฉ้อโกง การฟอกเงิน การยักยอกทรัพย์ หรือการทุจริตและติดสินบนเพื่อจะกระทำการผิดกฎหมายอื่น ๆ โดยจะถูกปกปิดผ่าน “การสร้างความเชื่อใจ” กับผู้ที่บริจาคเงินให้ ด้วยหลักการที่ว่า สร้างความเชื่อใจได้มากเท่าไหร่ ก็ปกปิดได้มิดชิดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแปลได้อีกอย่างคือ ทำให้เหยื่อเกิดความเชื่อใจมากจนวางใจจะบริจาคเงินให้ หรือไปจนสุดทางถึงขั้นที่ว่ากลายเป็นผู้ที่ภักดีต่อมูลนิธิ ที่คล้ายกับผู้สนับสนุนหลักให้การดำรงอยู่ของมูลนิธินี้ฝังรากลึกมากยิ่งขึ้น
 
ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลโกงของแก๊งคอลเซนเตอร์เลย แต่ต่างกันตรงที่การหลอกลวงของพวกคอลเซ็นเตอร์จะจำแลงมาในคราบของคนที่สนิทกับเหยื่อ แล้วทำภารกิจที่สร้างความเชื่อใจจนโอนเงินมาให้ก็ถือว่าเป็นอันสำเร็จ แต่การหลอกลวงในรูปแบบการจัดตั้งมูลนิธิรับบริจาคในฐานะนิติบุคคลนั้น สเกลใหญ่กว่ากันมาก เพราะต้องสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อผ่านตัวแทนอย่างแน่นแฟ้นจนชนิดที่ว่า แม้ว่าจะโดนหลอกเอาเงินมาแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ และยังคงมีแนวโน้มที่จะบริจาคต่อ หรือสนับสนุนการดำรงอยู่ของมูลนิธินี้ ด้วยความเชื่อใจอย่างเต็มที่ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ให้ไปจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ตัวแทนของมูลนิธิได้กล่าวอ้างไว้
 
โดยตัวแทนของมูลนิธิก็ต้องมีความสอดคล้องกับฉากหน้าดังกล่าว เพราะเขาเปรียบเสมือนกับเป็น Brand Ambassador (ร่างจำแลงของมูลนิธิ) ดังนั้นการมาในคราบของ “คนดีชอบช่วยเหลือสังคม” จึงเป็นรูปลักษณ์ที่เข้าเค้ามากที่สุด ที่จะเข้าไปมีน้ำหนักในใจของคนส่วนใหญ่ได้ โดยอาจจะมีการตอกย้ำภาพลักษณ์นี้ผ่านการกระทำหรือใช้วิธีการ PR ต่าง ๆ นานา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เรียกคะแนนนิยมในตัวบุคคลให้เพิ่มมากขึ้น จนผู้ที่บริจาคหรือผู้ที่เห็นดีเห็นงามด้วยได้พัฒนาขึ้นไปเป็นแฟนคลับ เป็น FC ที่มีความภักดีต่อผู้ที่เป็นตัวแทนสูงมาก มากจนติดหล่มการเป็นเหยื่ออย่างสมบูรณ์ ที่ไม่ว่าใครจะเข้ามาสะกิด ด้วยการตั้งข้อสงสัยถึงความโปร่งใส ชี้ให้เห็นการกระทำที่เข้าข่ายการหลอกลวงใด ๆ ของมูลนิธิ หรือการเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบ ผู้ที่ภักดีเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะประมวลผลว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวแทนมูลนิธิทั้งหมด และกระโจนไปเป็นฝ่ายตรงข้ามเข้าต่อกรทันที
 
จริงอยู่ที่มูลนิธิที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่ได้แปลว่าจะเป็นสแกมเมอร์ไปเสียหมด เพียงแต่ผู้ไม่หวังดีที่เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเหล่านี้ รับรู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่มีจิตสำนึกทางสังคมสูง พวกเขาจึงได้ใช้การจัดตั้งมูลนิธิ มาใช้ในการหลอกลวงเอาเปรียบเรา เพราะมูลนิธิมันมีช่องว่างในการกระทำทางทุจริตได้หลากรูปแบบมาก อันดับแรกเลยก็คือ มูลนิธิจัดว่าเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งจะเสียภาษีในอัตราที่น้อยมาก ๆ หรือไม่เสียเลย ต่างจากการเสียภาษีในนามบุคคลธรรมดา ที่ต้องจ่ายสูงสุดถึง 35% หากมีรายได้มากกว่า 5 ล้านบาทต่อปี หรือในนามนิติบุคคลทั่วไปที่ต้องเสียภาษี 20% ของกำไรสุทธิที่ทำเงินมาได้ ดังนั้นสมมติว่า คนเหล่านี้ได้เงินมา 100 ล้านบาท แทนที่จะต้องเสียภาษี 35 ล้านบาท 20 ล้านบาท หรือโดนตรวจสอบทางกฎหมาย เขาก็จะเอาเงินตรงนี้โยนเข้าไปในมูลนิธิ แล้วรวมเข้ากับเงินที่ได้รับบริจาคมา จากนั้นก็เอาเงินที่ได้จากบริจาคส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือตามวัตถุประสงค์ที่อ้างไว้ ส่วนเงินก้อนของตัวเองก็ค่อยเอาออกมาภายหลัง
 
แต่ประเด็นก็คือ วิธีการเอาเงินก้อนนั้นออกมา จะเป็นในลักษณะที่มีการตีว่าเงินส่วนนี้ได้ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในมูลนิธิ หรือบริจาคไปแล้ว ซึ่งมันก็คือเส้นทางเงินที่ไม่มีธุรกรรม หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นกระบวนการฟอกเงิน ที่เอาเงินสีเทามาโยนใส่แล้วฟอกออกมาเป็นสีขาวนั่นเอง ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่มีการจดบันทึกจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่เกินจริง ซึ่งนอกจากนี้แล้ว ยังมีรูปแบบการฉ้อโกงภายในได้อีกหลากหลายมาก เช่น การเอาเงินส่วนที่ประชาชนบริจาคมาให้ เอาไปซื้อของที่ราคาถูกไม่มีคุณภาพ แต่ตีว่าซื้อของสเปคดีมา แล้วก็เอาส่วนต่างเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ก็สิ่งของที่ประชาชนเอามาบริจาคให้ ก็ตีว่าไปซื้อมา เป็นต้น
 
ซึ่งช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นตรงนี้เอง ที่ข้อกฎหมายได้เข้ามามีบทบาทในการควบคุมดูแลให้มูลนิธิ ยังคงเป็นมูลนิธิตรงตามความหมายขององค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะหรือสังคมโดยเฉพาะเท่านั้น โดยจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ที่สามารถเรียกดูรายงานการเงินประจำปี อีกทั้งยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบของกรมสรรพสากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่ตรวจดูเรื่องภาษีและเส้นทางการเงิน เพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น แต่ผู้ที่มีสิทธิในการตรวจสอบที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ประชาชนและผู้บริจาค ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริงในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีสิทธิที่จะรู้ ตรวจสอบ และตั้งคำถาม ต่อทุกการใช้เงินสาธารณะหรืออำนาจที่ส่งผลต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือแม้แต่มูลนิธิที่รับเงินจากภาครัฐ
 
และขอบเขตอำนาจของประชาชนดังกล่าว ก็ได้ยึดโยงเข้ากับการที่ประชาชนอย่างพวกเรามีการเลือก ส.ส. เข้าไปในสภา ที่อยู่ในฐานะตัวแทนประชาชน หรือได้รับอำนาจในนามของเรา เพื่อทำ 3 หน้าที่หลัก ได้แก่ การออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณแผ่นดิน และตรวจสอบรัฐบาล เช่น การตรวจสอบโครงการรัฐ หรือเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูล ดังนั้นเวลาที่เราเห็น ส.ส. “ตั้งคำถาม” หรือ “เรียกร้องให้ตรวจสอบความไม่โปร่งใส” ไม่ว่าจะกับหน่วยงานรัฐ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเงินสาธารณะอย่างมูลนิธิ พวกเขากำลัง “ปฏิบัติหน้าที่แทนเรา” ในฐานะตัวแทนของประชาชน  ซึ่งเป็นการขยายสิทธิในการตรวจสอบของประชาชน ให้พัฒนาไปเป็นการตรวจสอบเชิงโครงสร้างในสภา ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้เอง การตรวจสอบมูลนิธิจากหน่วยงานต่าง ๆ และ ส.ส.ในสภา จึงเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์และอำนาจของประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะประชาธิปไตยไม่ได้จบแค่การเลือกตั้ง แต่มันคือการ “มีส่วนร่วมในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง”
 
แล้วมูลนิธิยังจำเป็นอยู่ไหม ถ้าไม่บริจาคเลย ปัญหาต่าง ๆ จะได้รับการช่วยเหลือได้อย่างไร?
 
จริง ๆ แล้วเวลาประเทศพัฒนา ระบบของรัฐจะยิ่งเข้มแข็งขึ้นจน “ไม่ต้องรอการบริจาค” จากประชาชน เพราะประชาชนได้ “ทำหน้าที่” ของพลเมืองในการจ่ายภาษี เพื่อให้รัฐมีงบประมาณจัดบริการสาธารณะแล้ว เช่น ทำถนน โรงเรียน โรงพยาบาล การช่วยเหลือภัยพิบัติ ไปจนถึงกองทัพทหาร โดยทุกปี รัฐบาลจะจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่จะเป็นการกำหนดว่า เงินภาษีของประชาชนในประเทศจะถูกนำไปใช้กับอะไรบ้าง ซึ่งใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กรอบวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา โดย 10 อันดับที่ได้รับงบประมาณสูงสุด ในร่าง พ.ร.บ. งบฯ ปี 2569 มีดังนี้
 
1. งบฯ กลาง ได้รับงบประมาณสูงสุดจำนวน 632,968 ล้านบาท
2. กระทรวงการคลัง จำนวน 397,856 ล้านบาท
3. กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 355,108 ล้านบาท
4. กระทรวงมหาดไทย จำนวน 301,265 ล้านบาท
5. กระทรวงกลาโหม จำนวน 204,434 ล้านบาท
6. กระทรวงคมนาคม 200,756 ล้านบาท
7. กระทรวงสาธารณสุข 177,639 ล้านบาท
8. กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม 140,300 ล้านบาท
9. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 130,111 ล้านบาท
10.กระทรวงแรงงาน 68,069 ล้านบาท
 
โดยเวลาเกิดเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ขึ้นมา โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นหน้าที่ของการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับเงินงบประมาณภายใต้กระทรวงมหาดไทย หรือจากทางงบฯกลาง ที่นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งใช้ได้เมื่อเกิดสถานการณ์เร่งด่วนหรือคาดไม่ถึง ส่วนกรณีที่เกิดปัญหาบริเวณชายแดน กองทัพก็จะได้รับงบประมาณจากกระทรวงกลาโหม มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายยานพาหนะ อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือการฝึกซ้อมต่างๆ ของกองทัพอยู่แล้ว
 
ส่วนการบริจาคผ่านมูลนิธิที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ภาระหน้าที่ทางพลเมือง แต่มันอยู่ในมิติของ “การแสดงน้ำใจหรือจิตอาสา” เป็นส่วนที่เสริมเพิ่มเติมขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่าง จากการทำงานของภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เช่น ระบบราชการไม่ยืดหยุ่น พื้นที่ห่างไกล หรืองบที่ล่าช้า ดังนั้นถ้าระบบรัฐทำงานดี ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องบริจาคบ่อย เพราะรัฐมีงบและระบบเพียงพอในการดูแลประชาชนอยู่แล้ว
 
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็คือ งบประมาณที่ได้มาจากประชาชน ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็มีข้อสังเกตต่างๆ นานา รวมถึงการทุจริตหรือยักยอกภายในด้วย ซึ่งตรงนี้เองที่การบริจาคจึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้สามารถถอนรากถอนโคนปัญหาที่แท้จริงนี้ได้ แถมในอีกมุมหนึ่งก็มีส่วนที่ช่วยทำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง “ลอยตัวเหนือหน้าที่ของตัวเอง” และเอื้อให้พวกเขาสามารถทำอะไรลับหลังกับงบประมาณที่ได้มา ดังนั้นจึงอยากให้ทำความเข้าใจว่า หน้าที่หลักของพลเมืองชาวไทย คือการ “ทำให้ระบบประเทศเดินได้” อย่างการปฏิบัติตามกฎหมาย การจ่ายภาษี และการมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อเลือกผู้แทนตัวเองอย่าง ส.ส. เป็นกระบอกเสียงรักษาสิทธิให้กับเรา ที่ช่วยตั้งข้อสงสัย ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงความไม่ชอบมาพากลของการจัดสรรงบประมาณก็เข้าข่ายเช่นกัน ฉะนั้นแล้วประเด็นความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมเกี่ยวกับเรื่องมูลนิธิในตอนนี้ แท้จริงแล้วเราอาจกำลังตกเป็นเหยื่อที่โดนใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่ม สแกมเมอร์อยู่ก็เป็นได้ แน่นอนว่าความใจดี ความมีจิตสำนึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นสิ่งที่ดี แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเราสามารถเอาไปใช้อย่างถูกที่ถูกทางโดยไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองและสังคมรอบข้างในภายหลัง

LastUpdate 26/10/2568 21:41:01 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
30-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 30, 2025, 1:25 am