
ท่ามกลางผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะ Government Shutdown ที่ยาวนานและกำลังรุนแรงขึ้นนี้ ก็ยังมีข่าวดีของตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งนำไปสู่การฟื้นตัวของตลาดพันธบัตร และความหวังที่เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะเกิดขึ้นวันที่ 28-29 ต.ค. 2568 นี้
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ประจำเดือน ก.ย. ของสหรัฐที่เพิ่งเปิดเผยมาในสัปดาห์นี้ นับเป็นรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการเพียงฉบับเดียว ที่ได้รับอนุญาตให้ออกมาในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐระงับการเปิดเผยข้อมูลจากภาวะ Government Shutdown หรือการปิดทำการของรัฐบาลชั่วคราวที่ได้ล่วงมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวที่แสดงถึงภาวะเงินเฟ้อต่อปีนั้น มีการขยายตัวเพียง 3.0% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 3.1% ส่วน Core CPI ที่เป็นดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมอาหารและพลังงานนั้น มีอัตราต่อปีอยู่ที่ 3.0% ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ 3.1% อย่างชัดเจนเช่นกัน
โดยหากพิจารณารายเดือน จะพบว่า ในมิติของราคาสินค้าหลักมีการเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% หมวดอาหารเพิ่มขึ้น 0.2% และหมวดที่พักอาศัย (Shelter) ที่มักเป็นแรงกดดันใหญ่ต่อเงินเฟ้อ ได้เพิ่มขึ้นน้อยมากเพียง 0.1% ซึ่งโดยรวม “ทุกหมวดหมู่” แล้ว ดัชนีราคาผู้บริโภคมีการเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นอยู่ที่ 0.3% ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน (ซึ่งเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4% เดือนต่อเดือน) และยังเป็นสัญญาณที่ค่อนข้าง “เบา” สำหรับการขึ้นของราคาสินค้าหลัก โดยก็เป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนได้ว่า รายได้ศุลกากรที่เกิดจากการเก็บภาษีสินค้านำเข้า มีอัตราภาษีที่รับรู้ (Realized Tariff Rate) อยู่ที่เพียง 10% เท่านั้น
หมายความว่า จากประเด็นนโยบายภาษีของทรัมป์ที่เสี่ยงว่าจะสร้างผลกระทบต่อราคาสินค้าในสหรัฐที่แพงขึ้น ณ ตอนนี้ ดูเหมือนว่าบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐ ได้ทยอยเปลี่ยนไปจัดหาสินค้าจากประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า ดังนั้นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ได้รุนแรงมากอย่างที่มีความกังวลกันก่อนหน้านี้ และผลกระทบต่อเงินเฟ้อก็น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน จึงกลายเป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนต่างจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐมีทั้งแรงกดดันจาก Government Shutdown และความไม่แน่นอนทางการคลัง เพราะช่วง Government Shutdown ที่รัฐบาลกลางสหรัฐปิดหน่วยงานชั่วคราว และสภาไม่อนุมัติงบประมาณ ทำให้รัฐมีการหยุดจ่ายเงินเดือนข้าราชการบางส่วนราว 800,000 คน โครงการลงทุนและบริการรัฐหยุดชะงัก ซึ่งทั้งหมดนี้กระทบกับการใช้จ่ายภาครัฐและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงทันที ทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอแรงขึ้น จนอาจเกิด Hard Landing ได้
แต่การมาของรายงานตัวเลขดัชนีผู้บริโภคที่ออกมาชะลอตัวลงกว่าคาด แถมยังเป็นรายงานฉบับเดียวที่ภาครัฐได้เปิดเผยออกมาในรอบเกือบ 1 เดือน เปรียบเสมือน โอเอซิสกลางทะเลทราย ที่จะทำให้ Fed “มีเหตุผลมากขึ้น” ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่ต้องกลัวว่าเงินเฟ้อจะกลับมาพุ่งอีก เพราะสถานการณ์ตอนนี้เงินเฟ้อเริ่มเย็นลงอยู่แล้ว (ซึ่งไม่ขัดกับเป้าหมายหลักของ Fed ที่ควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ราว 2%)
โดยเสียงของตลาดส่วนใหญ่ อ้างอิงจาก Fedwatch ของ CME Group กำลังเชื่อมั่นว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 4.00% - 4.25% สู่ 3.75% - 4.00% ในการประชุมปลายเดือนต.ค. นี้ พร้อมทั้งยังคาดการณ์ต่ออีกว่าจะปรับลดอีกครั้งในเดือนธ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดก็ยังมีความกังวลอยู่ว่าภาษีของทรัมป์อาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อรอบใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น และตัวเลขการจ้างงานที่อาจเกิดสภาวะไม่สมดุลที่เสี่ยงต่อการเกิด Stagflation Risk (เศรษฐกิจชะลอแต่ราคายังสูง) ซึ่งจะมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของ Fed ในระยะต่อไป
ข่าวเด่น