Special Report : ไทยได้ประโยชน์อะไรจาก MOU แร่หายาก คุ้มค่าหรือไม่? เสี่ยงขัดแย้งกับจีนหรือเปล่า?


 

ดูเหมือนว่าการที่ไทยได้ลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือเรื่องแร่หายากกับทางสหรัฐนั้น จะนำมาซึ่งข้อถกเถียงและเกิดความกังวลในสังคม โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างสมดุลด้านความร่วมมือกับทางสหรัฐ ที่อยู่ในบริบทของประเทศมหาอำนาจ และความสัมพันธ์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์กับทางการจีนว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แม้เบื้องต้น ทางฝั่งรัฐบาลจะออกมาย้ำเตือนว่า การตกลงร่วมมือ MOU ฉบับนี้ ได้รับการตรวจสอบจากทั้งกระทรวงการต่างประเทศ คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างรอบคอบที่สุดแล้ว อีกทั้งยังไม่มีข้อผูกพันทางกฏหมาย สามารถยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แท้จริงแล้วประโยชน์ที่ไทยจะได้รับมันคุ้มค่าหรือเปล่า จะมีแต่ข้อดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่ได้มีกำกับไว้ในถ้อยแถลงของข้อตกลง
 
สำหรับโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่อ้างอิงข้อมูลจากบัญชีทรัพยากรแร่ของไทย รายงานว่า ราว 19 % ของพื้นที่ประเทศ มีการสำรวจพบทรัพยากรแร่มากกว่า 40 ชนิด ซึ่งรวมถึงแร่หายาก หรือแรร์เอิร์ธ (REEs) ที่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัด นครราชสีมา (โคราช) และ บุรีรัมย์ ที่ตอนนี้ก็มีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนทำเหมืองแร่อยู่บ้างแล้ว ดังนั้นไทยจึงเริ่มจัดเป็นผู้เล่นในตลาดแร่หายากที่มีศักยภาพสำคัญบนเวทีโลก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังเทียบกับจีนที่เป็นแหล่งผลิตรายใหญ่เต็มตัวไม่ติด ทั้งในเชิงปริมาณของแร่ที่ขุดพบ และด้านการดำเนินการเชิงพาณิชย์ กล่าวคือ แร่ที่ขุดขึ้นได้จำเป็นต้องเอาไปสกัดและแปรรูปถึงจะได้เป็นแร่หายากที่พร้อมใช้งาน ซึ่งจีนเป็นประเทศที่ขุดพบแร่ในสัดส่วนที่มากถึง 70% และมีความสามารถสร้างผลผลิตที่ผ่านการสกัดและแปรรูปแล้วได้มากถึง 92% เทียบจากทั่วโลก ด้วยการพัฒนาพลังงานสะอาดและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนทั้งผลผลิตไปพร้อมกับการรักษาสมดุลทางสิ่งแวดล้อมในประเทศ
 
ตัดกลับมาที่กระบวนการผลิตแร่หายากของประเทศไทย ปัจจุบันยังคงเผชิญหน้ากับต้นทุนที่สูง และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เคยมีรายงานเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง ดังนั้นแล้วหากไทยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้นวัตกรรมต่าง ๆ ที่รวมถึงเรื่องของพลังงานสะอาดอย่างตรงจุด ก็จะเป็นประโยชน์ให้ไทยทั้งด้านการสำรวจ การผลิต และการใช้ประโยชน์ของแร่ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น พลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ไทยมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะเป็นฐานการผลิตที่มีอิทธิพลระดับภูมิภาค
 
โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาของห่วงโซ่อุปทานของแร่สำคัญ (Critical Minerals) ระหว่างไทยกับสหรัฐ หรือพูดง่าย ๆ ว่า ไทยให้สิทธิกับสหรัฐเป็นหลักในการลงทุนบริษัทขุดเจาะเหมืองแร่ (Offer จุดค้นพบทรัพยากรแร่ที่สำคัญในไทยให้สหรัฐคนแรก) ทางรัฐบาลไทยมีการชี้แจงว่า ไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งด้านของภาคการจ้างงาน การลงทุน การถ่ายทอดความรู้ และ Technical Know-how ต่าง ๆ ที่ไทยยังไม่มี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย อีกทั้งการลงนามความร่วมมือนี้ไม่ได้มีข้อสัมพันธ์ทางกฎหมาย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ ไม่มีข้อผูกพันในเรื่องของการที่จะต้องลงทุนอะไรระหว่างกัน ส่วนความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม ก็มีการตอกย้ำว่า พ.ร.บ. ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และ พ.ร.บ. ที่เกี่ยวกับเรื่องของเหมืองแร่ เป็นข้อบังคับทางด้านกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม หากสหรัฐเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเขียนกำกับไว้ใน MOU ฉบับนี้อย่างชัดเจน
 
แต่ข้อสังเกตก็คือ สหรัฐอเมริกา ที่อยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีของประเทศดังกล่าว มีจุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม เขาไม่มีความเชื่อเรื่องปัญหา Climate Change เห็นได้ชัดจากการลงนามสั่งยกเลิกมาตรการที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การยกเลิกให้ใช้หลอดกระดาษ หรือยกเลิกกฎระเบียบที่จำกัดการใช้น้ำในครัวเรือน อีกทั้งสหรัฐไม่มีความสามารถเพียงพอเทียบกับจีนที่จะสกัดคัดแยกแร่หายากแม้จะขุดขึ้นได้ก็ตาม โดยสหรัฐก็ยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องมีการพึ่งพาแร่หายากจากทางจีนอยู่เลย ฉะนั้นจึงเกิดความสงสัยว่าการเข้ามาลงทุนบริษัทขุดเจาะเหมืองแร่ในไทย ไทยเองจะได้ “องค์ความรู้” และ “นวัตกรรม” จริงหรือไม่ และหน่วยงานกำกับดูแลในไทยมีความรู้ความสามารถเพียงพอแล้วหรือยังที่จะดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศไม่ให้เสียเปรียบสหรัฐ
 
แล้วสหรัฐมาลงทุนแร่หายากในไทยทำไม ในเมื่อพึ่งพาจีนอยู่ก่อนแล้ว?
 
เนื่องจากว่าช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา จีนได้จำกัดการส่งออกแร่หายาก ทำให้สหรัฐที่มีการพึ่งพาจีนเป็นหลัก มองการกระทำนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตน เพราะข้อจำกัดดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อการผลิตอาวุธที่ใช้แร่หายากเป็นส่วนประกอบสำคัญโดยตรง รวมถึงยังอยู่ในการผลิตสินค้าด้านเทคโนโลยี ทั้งเซมิคอนดักเตอร์ และ AI อีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้แร่หายาก ก็ยังเป็นท่าไม้ตายของจีน ที่ใช้เป็นข้อต่อรองทางการค้า หลังจากสหรัฐขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของจีน ดังนั้นการลงนาม MOU กับไทย จึงสามารถมองได้ว่าสหรัฐกำลังหาทางคลี่คลายความเสี่ยงจากการพึ่งพาประเทศจีนเป็นแหล่งเดียว โดยหันมาหาไทยที่มีตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องแร่หายาก แต่ประเด็นก็คือ การกระทำดังกล่าว ก็เอื้อให้สหรัฐสามารถหยิบยกไทยมาเป็นข้อต่อรองกับทางจีน (คล้ายกับประกาศศักดาว่าจีนไม่สามารถมีอำนาจเหนือกว่า ที่จะใช้การไม่ส่งแร่ให้มาขู่สหรัฐได้อีกแล้ว) ซึ่งทำให้ไทยเองอาจมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนตามมา
 
ฉะนั้นความเสี่ยงที่ไทยอาจจะต้องเผชิญ คือเรื่องของพลวัตทางอำนาจ ที่มีโจทย์สำคัญว่าไทยจะสร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์อย่างไรให้เป็นกลางต่อทั้งสหรัฐและจีน เมื่อไทยเป็นประเทศขนาดเล็กที่ยังต้องพึ่งพาทั้งสองมหาอำนาจ รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างอำนาจและความร่วมมือกับทางสหรัฐในการลงนาม MOU ดังกล่าว ที่แม้ในรายละเอียดจะกำกับว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยกเลิกข้อตกลงได้ แต่ประเทศที่เล็กกว่าอย่างไทย จะเป็นฝ่ายขอยกเลิกโดยปราศจากการถูกกดดันได้จริงเหรอ ในเมื่อ MOU ฉบับนี้ก็ต่อยอดมาจากการเจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับสหรัฐ ที่ไทยอยู่ในฝ่ายตกเป็นรองมาก่อนหน้านี้

LastUpdate 29/10/2568 16:54:58 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
30-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 30, 2025, 1:25 am