Scoop : รู้จักกับ "สงครามไซเบอร์" ที่ใช้ AI เป็นอาวุธโจมตีฐานข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม


การทำสงครามในศตวรรษที่ 21 นับว่าค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างจากอดีต ทั้งในด้านของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ และรูปแบบการโจมตีที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งแหล่งอานุภาพหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยแห่งสงคราม คือ เทคโนโลยี AI ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การแทนที่การสู้รบเชิงกายภาพ แต่ด้วยความสามารถในการขยายขอบเขตของสงครามที่สร้างความเสียหายอันซึมลึกได้มากกว่า โดยเฉพาะการโจมตีด้านข้อมูล ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลในยุคปัจจุบัน ก็ทำให้ฝ่ายที่มีความมั่นคงด้านไซเบอร์ เป็นฝ่ายได้เปรียบ และมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในสถานะเป็นรอง ซึ่งไม่สามารถพึ่งพาตนเองในด้าน AI
 
โดยรูปแบบของยุทธวิธีดังกล่าว เป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของการทำ “สงครามไซเบอร์” ที่ใช้ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI เข้าสร้างความเสียหายทั้งในระดับร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สิน และ จิตใจ ได้อย่างครอบคลุมทั่วทั้งระบบ เพราะทุกวันนี้ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เช่น ระบบขนส่ง พลังงาน การทำงานของภาครัฐ การบังคับใช้กฎหมาย อุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดในยุคนี้ และอื่น ๆ ต่างมีความเชื่อมโยงกันผ่านระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ทำหน้าที่เป็นแกนกลาง หรือศูนย์ประสาทของประเทศในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วน ดังนั้น ข้อมูล จึงถือว่าเป็น “น้ำมันใหม่ของโลก” ที่ใครสามารถถือครองข้อมูลได้มากกว่า คนนั้นก็จะสามารถควบคุมและชี้นำการตีความข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ เพื่อกำหนดความคิดเห็น ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้คน ผ่านการเล่าเรื่อง (Narrative) ที่ตนเองต้องการ
 
ซึ่งการจะเข้าครอบคลุมและชี้นำดังกล่าวได้นั้น พึ่งพาอาศัยสิ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อันเป็นเครื่องมือในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลจากทุกระบบ ด้วยการวิเคราะห์ ทำนายแนวโน้มในอนาคต ตัดสินใจแทนมนุษย์บางส่วน และจัดทำ Automation (ระบบงานอัตโนมัติ) ที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงานหรือภารกิจต่าง ๆ หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า Big Data เป็นโครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลังของทุกระบบ ส่วน AI คือกลไกอัจฉริยะที่แปลงข้อมูลนั้นให้กลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง นั่นเอง
 
ดังนั้นประเทศที่เป็นผู้นำในด้าน AI ที่พึ่งพาเทคโนโลยีและเสริมความแข็งแกร่งผ่านการลงทุนและพัฒนาด้วยตนเอง จะถือว่าเป็นผู้คุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง ในแง่เศรษฐกิจ พวกเขาสามารถครองพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นจาก AI เช่น  ยานยนต์อัตโนมัติ, เทคโนโลยีการแพทย์ หรือระบบการเงินอัจฉริยะ และยังสามารถเพิ่ม Productivity ได้อย่างมหาศาล เพราะการควบคุม AI ได้ สามารถช่วยผลิตของได้เร็ว มีต้นทุนถูก และแม่นยำกว่าคู่แข่ง ส่วนในแง่ของโครงสร้างสังคม พวกเขาสามารถสร้างระบบสังคมอัจฉริยะ (Smart Society) ที่มีจุดเด่นในการกำหนดทิศทางของแรงงาน การศึกษา รวมไปถึงการจัดการด้านอาชญากรรม ซึ่งทำให้มีแรงงานคุณภาพเหนือกว่าชาติอื่น
 
และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือในแง่ของการเมืองและความมั่นคง เพราะ AI สามารถใช้ในการสอดแนม คาดการณ์พฤติกรรมศัตรู วางยุทธศาสตร์ล่วงหน้า ซึ่งนำไปสู่อำนาจในการต่อรองที่เหนือกว่า และการก่อสงครามทางไซเบอร์ที่ไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเสียเนื้ออย่างการโจมตีระบบสำคัญของฝ่ายตรงข้าม การปั่นข้อมูลข่าวสารที่เข้าควบคุมจิตใจสังคม ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบพฤติกรรมตามที่ต้องการ เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของอำนาจ ที่เกิดขึ้นจาก “อำนาจในการทำนาย (Predictive Power)” ของ AI ที่รู้อนาคตได้แม่นยำกว่าใคร โดยตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่ผ่านมา เกิดขึ้นทั้งในเหตุการณ์โจมตีซอฟต์แวร์ที่กระทบกับระบบในสนามบินและการจราจรทางอากาศ การเกิดขึ้นของแคมเปญข้อมูลข่าวปลอมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ถูกใช้เพื่อทำลายความเชื่อถือ ทำให้ประชาชนสับสน หรือล้วงข้อมูลเชิงกลยุทธ์ ไปจนถึงการเกิดสงครามชุดผสม (Hybrid Warfare) ของเหตุการณ์ในยูเครน ที่แสดงให้เห็นว่า AI ถูกใช้ในการค้นหาเป้าหมายและตัดสินใจ (โดรนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม, การระบุเป้าหมาย, รวมถึงการเก็บหลักฐานและต่อต้านข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตรงข้าม) ควบคู่กับยุทธศาสตร์การรบเชิงกายภาพแบบเดิม
 
ทั้งนี้ หากว่าฝ่ายที่โดนโจมตี หรือฝ่ายป้องกันก็สามารถใช้ AI ได้เช่นกัน มันจะเกิดการ “แข่งขันด้านอาวุธ” ทางไซเบอร์ เช่น มีระบบตรวจจับภัย (EDR, SIEM) รวมถึงมีระบบอัตโนมัติตอบโต้เหตุการณ์จากการใช้ AI เพื่อหา Anomalous Behavior ที่สามารถป้องกันและลดความเสียหายได้ทันท่วงที ซึ่งถ้าเป็นการปะทะกันระหว่างผู้นำที่เป็น “เจ้าของ” เทคโนโลยี AI มันก็คงจะค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อ ทั้งในมิติของผลกระทบ และการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่ถ้าหากว่าสงครามไซเบอร์ครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้นำ AI กับ ชาติที่พึ่งพาผู้ให้บริการหรือพึ่งพาห่วงโซ่อุปทาน AI จากคนอื่น ก็มีความเสี่ยงที่จะโดนตัดช่องทางการใช้เทคโนโลยี มีความสามารถไม่เพียงพอที่จะตรวจจับหรือตอบโต้ภัยของ AI ที่โจมตีเข้ามาทันที รวมถึงอาจเกิดการกดดัน หรือลงโทษทางเศรษฐกิจในมิติของความสัมพันธ์ด้านการทูตก็ได้เช่นกัน
 
โดยในกรณีที่ไทยมีการลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือเรื่องแร่หายากกับทางสหรัฐ ที่เป็นปัจจัยทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากแร่ดังกล่าวถูกใช้ในเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการพัฒนา AI และอาวุธสมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับห่วงโซ่การผลิตของ AI ที่เชื่อมโยงระหว่างจีนและสหรัฐโดยตรง ดังนั้นในฐานะประเทศขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพามหาอำนาจทั้งสอง ไทยต้องรักษาสมดุลด้านการทูต ที่ยืนยันความเป็นกลางด้านยุทธศาสตร์เชิงปฏิบัติ จากกรณีการลงนาม MOU ดังกล่าว ที่อาจถูกตีความว่าเป็นการเลือกข้าง (Geopolitical Signalling) ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ทางการค้าหรือด้านนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของไทยโดยตรงในระยะต่อไป

LastUpdate 29/10/2568 16:54:42 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
30-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 30, 2025, 1:27 am