
“หนี้ครัวเรือน” หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย โดยที่ผ่านมานี้ รายได้ของครัวเรือนจำนวนมากยังคงฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางยังมีปัญหาในการชำระหนี้ และกลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งหากไม่เร่งแก้ปัญหาดังกล่าว อาจซ้ำเติมสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ที่คอยแต่จะฉุดรั้งชีวิตของคนในสังคมไทยอีกหลายครอบครัว และส่งผลทางลบต่อการบริโภคภาคเอกชนไปจนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถขยายตัวได้ในอนาคต
ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้มีการออกนโยบาย Quick Big Win มาตรการเร่งเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น สร้างผลต่อเนื่องระยะยาว และกระจายการเติบโตให้ทั่วถึงแก่ประชาชนชาวไทย โดยมีการออกหนึ่งในโครงการเรือธงเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และลดภาระหนี้ของประชาชน ที่มีการร่วมมือกันระหว่าง กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคสถาบันการเงิน ภายใต้ชื่อโครงการว่า “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่มุ่งเข้าช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อให้ผู้ที่เคยมีปัญหาหนี้เสียสามารถกลับมามีโอกาสทางเศรษฐกิจ และไม่ถูกปิดกั้นจากเครดิตบูโร ผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM ด้วยการใช้แหล่งเงินทุนที่เหลือจากโครงการ ‘คุณสู้เราช่วย’ ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยการใช้เงินส่วนนี้ จะไม่เป็นการสร้างภาระต่อระบบการเงิน นโยบายการคลังของรัฐบาล และไม่ก่อให้เกิด Moral Hazard หรือความเสี่ยงทางศีลธรรม ต่อระบบในระยะยาว
โดยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดแถลงข่าวการเปิดตัวโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” โดยมี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการแถลงข่าว และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ในหลักการเบื้องต้น โดยมีนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้แทนกระทรวงการคลัง, นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนสมาคมธนาคารไทย (TBA), นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ร่วมลงนาม

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เน้นย้ำถึงโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” นี้ว่าจะช่วยชุบชีวิตประชาชนที่มีหนี้เสียให้หายใจได้คล่องขึ้น และสามารถกลับมาเป็นคนดีที่มีวินัยทางการเงินได้ เพราะปัจจุบันประชาชนที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท มีอยู่ประมาณ 3.4 ล้านคน คิดเป็น 4.7 ล้านบัญชี ซึ่งมีมูลค่าหนี้รวมราว 1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับรวมคนในครอบครัวอีก หากรัฐบาลไม่เข้าช่วยเหลือพวกเขาให้กลับมายืนได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตก็จะกลายเป็นปัญหาของสังคมและเศรษฐกิจไทยต่อไป โดยโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียดังกล่าว จะเดินหน้าช่วยเหลือในกลุ่มประชาชนรายย่อยที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) มูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาทก่อน ผ่านการเข้าซื้อหนี้ของ AMC จากสถาบันการเงิน ส่วนวิธีการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบด้วย 3 วิธีหลัก ได้แก่ การตัดหนี้ การลดหนี้ และการยืดเวลาชำระหนี้ ซึ่งการนำไปใช้จะขึ้นอยู่กับศักยภาพการชำระหนี้ของแต่ละบุคคล
“เราจะเร่งแก้หนี้เสียกลุ่มแรกก่อน ภายใต้ระยะเวลาของรัฐบาลใน 4 เดือน ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์หนี้ไปให้ AMC ของ SAM บริหาร จะช่วยพวกเขาลดภาระหนี้ มีประวัติในเครดิตบูโรดีขึ้น และเปิดทางให้สามารถกลับเข้าไปในระบบสินเชื่อได้ ถือเป็นการคืนชีวิตให้กับลูกหนี้และคนในครอบครัวของพวกเขาให้กลับมามีโอกาสทางเศรษฐกิจอีกครั้ง” ดร.เอกนิติ กล่าว
ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ กล่าวเสริมว่า กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาและรับทราบโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 นี้ หลังจากมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ MOU กับสถาบันการเงิน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มดำเนินการจริง
ด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยจะลดลงจากกว่า 90% จากช่วงก่อนหน้า แต่ปัจจุบันยังคงอยู่ที่ 87% ของ GDP ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ฉะนั้นจึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด เริ่มจากการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสีย (NPL) ต่ำกว่า 100,000 บาท แม้ว่าปริมาณหนี้รวมอาจจะไม่มาก แต่กลุ่มนี้มีสัดส่วนมากถึง 60% ของจำนวนลูกหนี้ NPL ทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ธปท. ที่ต้องการเข้าถึงและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อคลี่คลายปัญหาในเชิงระบบ และให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

โดยโครงการนี้ ผู้ว่าการ ธปท. เน้นย้ำว่า เป็นมาตรการเฉพาะกิจที่ดำเนินการเพียงครั้งเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางด้านศีลธรรม หรือ Moral Hazard ซึ่งในระยะแรกนี้ จะเลือกช่วยเหลือ กลุ่มหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกัน จากธนาคารพาณิชย์และกลุ่มบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทางการเงินแบบ Non-bank จำนวน 1.6 ล้านบัญชี (จากทั้งหมด 4.7 ล้านบัญชี) หรือราว 1.2 ล้านราย ที่คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 4.36 หมื่นล้านบาท มาดำเนินการก่อน โดยจะขายหนี้ให้แก่บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM ซึ่งเป็นบริษัทที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ถือหุ้น 100% โดย ธปท. จะเข้ามาปรับยุทธศาสตร์และบทบาทให้เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อสังคม หรือ Social AMC เพื่อมาปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนแก่ลูกหนี้ โดยไม่มีการแสวงหาผลกำไรใด ๆ ส่วนเงินที่ใช้ในการดำเนินการเข้าซื้อหนี้ดังกล่าว มาจากเงินทุนที่เหลือจากโครงการ คุณสู้เราช่วย ที่นำส่งอยู่ในกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) จาก 0.46 % เหลือ 0.23%

“สำหรับสิทธิประโยชน์ของลูกหนี้ จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยที่ผิดนัดค้างชำระและค่าธรรมเนียมทั้งหมด มีการลดยอดต้นบางส่วนในสัดส่วนที่สูงพอสมควร ส่วนทางเลือกในการชำระหนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ จ่ายปิดจบ โดยลูกหนี้สามารถติดต่อและจ่ายหนี้บางส่วนเพื่อปิดจบได้ทันที และการผ่อนเป็นงวด ที่ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระได้ภายในระยะเวลาสูงสุดถึง 3 ปี โดยระหว่างเข้าร่วมมาตรการจะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ย และเมื่อผ่อนหมดก็จะกลับไปเป็นลูกหนี้ตามระบบปกติได้ทันที ซึ่งสามารถกลับเข้าไปสู่สถาบันการเงิน เพื่อขอสินเชื่อที่จำเป็นในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ต่อไปได้ โดยโครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ในครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหหนี้ได้สำเร็จราว 30-50% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด 1.6 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นอย่างน้อย 5-8 แสนราย“ นายวิทัย กล่าว

โดยหลังจากร่วมลงนาม MOU ในหลักการเบื้องต้นกันในครั้งนี้แล้ว ในเดือนธันวาคมของปี 2568 จะมีการทำสัญญาและรายละเอียดทั้งหมดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อโอนหนี้ จากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 หนี้จะถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปอยู่ที่ SAM อย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นลูกหนี้สามารถเริ่มชำระหนี้ได้ แต่โดยช่วงแรกอาจต้องชำระผ่านสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เดิมไปก่อน ก่อนที่ระบบของ SAM จะพร้อมสมบูรณ์ และช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ทาง SAM จะเริ่มทยอยติดต่อกลับไปยังลูกหนี้ในระยะถัดไป
สำหรับด้านของลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) จะได้รับการช่วยเหลือผ่านการโอนและขายหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ Ari AMC เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนอีก 3.3 แสนบัญชี โดยทางธนาคารออมสินจะสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลนให้กับ Ari AMC เพื่อเป็นสภาพคล่องในการดำเนินการรับซื้อหนี้ดังกล่าว ซึ่งทางกระทรวงการคลังจะควบคุมหลักการและแนวทางการช่วยเหลือสอดคล้องกับโครงการหลัก ที่รวมทั้งสิ้นจะสามารถเข้าช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้ถึง 1.9 ล้านบัญชี
ข่าวเด่น