ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็สามารถผ่านวิกฤติหน้าผาการคลัง หรือ fiscal cliff ไปได้ แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้มีมติด้วยคะแนนเสียง 257 ต่อ 167 ผ่านร่างกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวสามารถผ่านมติในขั้นตอนสุดท้าย หลังจากที่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตสามารถประนีประนอมกันได้ในรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว
การลงมติดังกล่าวของสภาผู้แทนราษฎร มีขึ้นหลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติด้วยคะแนนเสียง 89 ต่อ 8 ผ่านร่างกฎหมายหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลัง ไปเมื่อวานนี้ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติเห็นชอบไปนั้น จะส่งผลให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี เนื่องจากร่างกฎหมายระบุให้มีการขยายระยะเวลาการใช้กฎหมายภาษีพิเศษสำหรับครัวเรือนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่บังคับใช้ตั้งแต่สมัยของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลกลางมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกราว 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าว จะป้องกันไม่ให้มีการปรับขึ้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่า 400,000 ดอลลาร์ และครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 450,000 ดอลลาร์ อีกทั้งยังขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานในระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ มองตรงกันว่า ในปี 2556 นี้ หน้าผาการคลังที่แท้จริง คือ เพดานหนี้ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะหากไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าวได้แล้ว สุดท้ายกระทรวงการคลังจะไม่มีเงินมาชำระหนี้ และต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งหมายถึงหายนะแท้จริงที่จะเกิดกับตลาดการเงิน
หลังการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวดังกล่าว โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,400 จุด ได้ในวันทำการแรกของปี 2556
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทิสโก้ มองว่า หลังปัญหาหน้าผาการคลังสหรัฐฯคลี่คลาย และแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศยังมีความต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดผลกระทบ January Effect ในเดือน ม.ค.นี้ ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งราคาน้ำมัน และทองคำ ก็คงปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
แม้รัฐบาลสหรัฐฯจะผ่านภาวะ Fiscal cliff ไปได้ในวันนี้ แต่ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯก็ยังรอการแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และรักษาความเป็นผู้นำของเศรษฐกิจโลกไว้ได้ต่อไป
ข่าวเด่น