กองทุนรวม
บลจ.ไอเอ็นจีเผยกองทุน ทริกเกอร์ 10% (7) เข้าเป้า ประเดิม Hit Target ภายใน 1 เดือน 25 วัน


บลจ.ไอเอ็นจี เปิดศักราชใหม่อย่างสดใส  หลัง “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” สร้างผลงานเข้าเป้าตามติดกองทุนใน กลุ่มทริกเกอร์ เผย NAV อยู่ที่ 11.0190 บาทต่อหน่วย เมื่อวันที่ 2 ม.ค.2013 ใช้เวลาเพียงแค่ 1 เดือน 25 วัน

 พร้อมประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2013 ชี้หลายปัจจัยบวกสนับสนุนให้ดัชนีราคาหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,500 จุด จากปัจจัยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ปัจจัยหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง มาจากการบริโภคภายในประเทศ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ-เอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของการส่งออก           ชี้ปัจจัยหนุนทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2013 สดใส มาจากการที่ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับความสนใจ เชื่อ Fund Flow ยังไหลเข้าลงทุนต่อเนื่อง                 จากปริมาณสภาพคล่องทั่วโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ตลาดหุ้นยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ รวมถึงมูลค่าตลาดหุ้นไทยน่าสนใจ จากอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะเติบโต 19.1% PER ที่ 10.5 เท่า 

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ไอเอ็นจี ได้เสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนผสมที่มีการกำหนดผลตอบแทนเป้าหมาย คือ มูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 10 บาท ไปอยู่ที่ 11.00 บาทต่อหน่วย ณ วันใดวันหนึ่ง กองทุนก็จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมด พร้อมเลิกกองทุนภายใน 5 วันทำการ ล่าสุด มูลค่าหน่วยลงทุนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” สามารถเข้าถึงเป้าหมาย 11.00 บาทต่อหน่วยได้ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2013 โดยมีมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.0190 บาทต่อหน่วย คิดเป็นระยะเวลาลงทุนเพียง 1 เดือน 25 วัน ซึ่ง บลจ.ไอเอ็นจี จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ถือหน่วยทุกราย ในวันที่ 9 มกราคม 2013 และจะนำเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นท์

“ในปี 2012 ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับความผันผวนทั้งจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุนทั้งภายนอกและภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ วิกฤติหนี้สาธารณะของกลุ่มยูโรโซน เมื่อผนวกกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย กลุ่มประเทศเกิดใหม่อีกหลายประเทศ รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2012 นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.69% สูงที่สุดในรอบ 16 ปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้กองทุนในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไอเอ็นจี สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยใช้ระยะเวลาไม่นานเพียง 1 เดือน 25 วันเท่านั้น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2012  กองทุนในกลุ่ม ‘อีควิตี้ทริกเกอร์’ ของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและถึงเป้าหมายได้ก่อนกำหนดทั้ง 3 กองทุน โดยใช้ระยะเวลาไม่นาน ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5) และ (6) ใช้ระยะเวลาเพียง              3 เดือน 19 วัน ส่วนกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีสามารถสร้างยอดขายสูงสุดในช่วงเสนอขาย IPO สำหรับกองทุนกลุ่ม ‘อีควิตี้ ทริกเกอร์’ ของปี 2012 ด้วยมูลค่า 2,272.50 ล้านบาท สามารถถึงเป้าหมายโดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือน 25 วัน ซึ่งเราต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจลงทุนในกองทุนของ บลจ.ไอเอ็นจี มาโดยตลอด และเราจะยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง” นายจุมพลกล่าว


ทั้งนี้ บลจ.ไอเอ็นจียังได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจในปี 2013 โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น โดยมี                     แรงขับเคลื่อนจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงกลุ่มประเทศเกิดใหม่อีกหลายๆ ประเทศเป็นหลัก จากการบริโภคภายในประเทศและการเติบโตของภาคการลงทุน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาคการบริโภค การจ้างงานและการลงทุน ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารสหรัฐฯ ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ดีจากแรงผลักดันจากการบริโภค และการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ ที่จะช่วยชดเชยการลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในภาวะชะลอตัว    ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปนั้น บลจ.ไอเอ็นจี       เชื่อว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปยังอยู่ในภาวะอ่อนแอไปจนถึงกลางปี 2013 หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจยุโรปด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวด ซึ่งรวมถึงการตั้งเป้าเพื่อลดขาดดุลทางการคลังที่เข้มงวด ตลอดจนการที่ระดับหนี้สาธารณะและอัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง

สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2013 นั้น คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ธนาคาร             แห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 4.8% ลดลงจากปี 2012 ที่ขยายตัว 5.7% อย่างไรก็ตาม บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) เชื่อว่า ในขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศยังคงมีความผันผวน ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมาจากการบริโภคภายในประเทศ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออก โดยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐมาจากโครงการจัดการระบบป้องกันน้ำท่วมมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท และโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ มูลค่าประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะเริ่มเห็นความคืบหน้ามากขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2013 นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ก็จะช่วยเสริมความเข้มแข็งของภาคการส่งออก ซึ่งจะช่วยชดเชยความเสี่ยงในกรณีที่โครงการลงทุนของรัฐอาจมีความล่าช้าไปได้

ในส่วนของทิศทางการลงทุนในปี 2013 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บลจ.ไอเอ็นจียังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการที่ตลาดหุ้นในเอเชียยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก จากสภาพคล่องทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ภายหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศนโยบายอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเดือนละ 85,000 ล้านเหรียญ จากมาตรการ QE3 จำนวน 40,000 ล้านเหรียญ และ QE4 อีก 45,000 เหรียญ นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นยังเป็นอีกทางเลือกที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงแก่นักลงทุน รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ จากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ การลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคภายในประเทศ ด้วยนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับ 23% ในปี 2012 เป็น 20% ในปี 2013 ตลอดจนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา-ลดอัตราสูงสุดเหลือ 35% จากเดิม 37% ซึ่งเป็นผลเชิงบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคประชาชน

“ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกันในแง่การเติบโตของกำไรและมูลค่าตลาดแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจด้วยค่าพีอี เรโช ของตลาดที่ยังคงอยู่ในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ในขณะที่การเติบโตของกำไรยังคงเติบโตในระดับที่สูงกว่า                  โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ 19.1% และระดับ PER ที่ 10.5 เท่าในปี 2013 (ที่มา: UBS  28 พฤศจิกายน 2012) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคที่ 3.1% รองจากตลาดหุ้นมาเลเซียและสิงคโปร์เท่านั้น ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมด ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ SET Index ในปี 2013 ในเชิงบวกว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และมองว่ามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นไปถึง 1,500 จุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและ      วัสดุก่อสร้าง” นายจุมพลกล่าว

นายจุมพล กล่าวโดยสรุปว่า “ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2013 ยังคงน่าลงทุนต่อเนื่อง จาก 3 เครื่องมือการขับเคลื่อนหลัก คือ การลงทุนของภาครัฐ การบริโภคของภาคประชาชน และการลงทุนของภาคเอกชนที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ การขยายตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ยังโตต่อเนื่องจะเป็นสิ่งจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทย โดยปัจจัยเสี่ยงยังคงมาจากภายนอกประเทศเป็นหลัก ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกลุ่มยูโรและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ทั้งนี้การลงทุนในปี 2013 เรายังคงแนะนำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มแวลู (Value Stock) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลู โฟกัส ปันผล  สำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง อาจเลือกลงทุนในกองทุนที่มีความยืดหยุ่นในการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ ที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุน (Portfolio Rebalancing) ได้ จะทำให้ลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ดีในภาวะที่ตลาดไม่เอื้ออำนวย และสามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีในภาวะที่ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ 
ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ภายใต้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยทรงตัว หรือปรับลดลง ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวเหมาะสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุระยะกลาง-ยาว โดยแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้เอเชีย ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศเกิดใหม่ด้วย เนื่องจาก โครงสร้างทางการเงิน และการคลังที่แข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับยุโรป และสหรัฐฯ พร้อมทั้ง คาดการณ์ว่าสกุลเงินของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มที่จะยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง จึงนับเป็นโอกาสที่จะเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศได้อีกด้วย ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มารเก็ต – ปันผล* และกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์  รีจินอล บอนด์ ปันผล*


LastUpdate 07/01/2556 13:59:25 โดย : Admin
23-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 23, 2024, 9:42 pm