หลังการปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของค่าเงินบาท จนปัจจุบันทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 16 เดือน ไปแล้ว โดยแตะที่ระดับ 29.84 29.88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เริ่มมีเสียงสะท้อนจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลเกี่ยวกับส่งออกของไทย ผู้ประกอบการ และนักวิชาการ
นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง กรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ว่า ได้มอบหมายให้ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประเมินสถานการณ์ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ว่าค่าเงินบาทจะยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก ทางกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรมีมาตรการดูแลค่าเงิน เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะต้องประเมินสถานการณ์และพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกอีกทางหนึ่งด้วย
ด้านภาคเอกชน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. บอกว่า เอกชนต้องการให้ ธปท.ดูแลให้ค่าเงินบาทเกาะกลุ่มกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเอเชีย เพราะถ้าไม่สามารถบริหารค่าเงินบาทให้เกาะกลุ่มภูมิภาคไว้ได้จะกระทบการส่งออก ซึ่งค่าเงินบาทที่เหมาะสม ไม่ควรแข็งค่ามากกว่า 30 บาท ซึ่งที่ผ่านมาค่าเงินอยู่ที่ 30 บาท ก็เป็นระดับที่ผู้ส่งออกรับมือได้ ส่วนการปรับตัวในระยะสั้น ผู้ส่งออกยังคงใช้วิธีการซื้อประกันความเสี่ยงค่าเงินบาท เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน
ส่วน นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกระทบต่อโอกาสในการทำกำไรของผู้ประกอบการขนาดเล็ก
โดยการแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ ชัดเจนว่าเกิดจากการเข้ามาเก็งกำไร ทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ได้กระทบกำไรของผู้ประกอบการแล้วประมาณ 0.5 - 1%
ด้านนักวิชาการ นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากว่า 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อความสามารถการแข่งขันส่งออกของวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งตอนนี้ได้รับทั้งจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า และปัญหาค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท
ดังนั้น ขณะนี้ถือเป็นโอกาสของเอสเอ็มอี ที่มีปัญหาเรื่องค่าแรง 300 บาท อยู่แล้ว ควรมีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อใช้แทนแรงงาน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ รัฐบาลต้องมีมาตรการจูงใจ หรือส่งเสริมให้มีการนำเข้าเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท ยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะปัญหาหนี้ยุโรป เศรษฐกิจสหรัฐ จะทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียและไทย ส่วนผลกระทบกับผู้ประกอบการส่งออก คาดว่าจะเห็นผลชัดเจน ในการเปิดเผยตัวเลขการส่งออกในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2556
ณ เวลานี้ ผลจากการแข็งค่าของเงินบาท เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ธปท. คงจะนิ่งดูดายไม่ได้แล้ว ส่วนจะมีมาตรการลดผลกระทบอย่างไร คงติดตามต่อไป
ข่าวเด่น