ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มส่งผลต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น ที่ถือเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับต้นๆของไทย
นายเชตซูโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 ที่สำรวจจากสมาชิก 381 บริษัท ระหว่างวันที่ 21พ.ย. 20 ธ.ค.55 พบว่า ผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทยเห็นว่า นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันของรัฐบาลไทย จะส่งผลกระทบต่อค่าแรงงานให้เพิ่มสูงขึ้นในระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งไทยจะมีปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงานเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งประธานเจโทร ชี้แจงว่า เดิมญี่ปุ่นลงทุนในจีนมาก เพราะเป็นตลาดใหญ่ และน่าสนใจ ต่อมาค่าแรงจีนสูงขึ้น แนวโน้มการลงทุนจึงเข้ามาในอาเซียน ซึ่งไทยก็ได้รับการลงทุนจากญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันค่าแรงไทยเพิ่มขึ้น และขาดแคลนแรงงาน ญี่ปุ่นจึงจับตามองประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่า และมีแรงงานมากกว่า โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย สหภาพพม่าและเวียดนาม
และจากการสำรวจ การขยายเข้าสู่ตลาดประเทศอื่น พบว่าบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ได้ดำเนินการแล้ว ซึ่งประเทศเป้าหมายในการรุกเข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่ หรือ 49% เลือกที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย รองลงมาเป็นพม่าและเวียดนาม 31% อินเดีย 22%
สำหรับเหตุผลที่รุกเข้าสู่ประเทศอื่น นักลงทุน 76% ตอบว่า ต้องการขยายธุรกิจไปยังประเทศนั้น รองลงมา 16% ต้องการพัฒนาเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย และ 14% เนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้างของไทย
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการญี่ปุ่นยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเข้ามาดูแล ในเรื่องแผนการป้องกันปัญหาน้ำท่วมถาวร สนับสนุนการตั้งกองทุนป้องกันภัยพิบัติอย่างครบวงจร ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมจากอุบัติภัยน้ำท่วมให้สะดวกขึ้น และผ่อนปรนสัดส่วนการถือหุ้นต่างชาติได้ไม่เกิน 49% ให้เพิ่มมากขึ้นด้วย รวมถึงต้องการให้ปรับระเบียบขั้นตอนทางศุลกากรชายแดนให้เกิดความสะดวกในการลงทุนในอาเซียนด้วย และรองรับเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปลายปี 2558
ผลโพลล์ที่ออกมาของเจโทร ย่อมสะท้อนถึงผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสนับสนุนและการส่งเสริม ผู้ประกอบการการลงทุนในประเทศ
ข่าวเด่น