โดย "เอสเอ็มอีแบงก์ " ล่าสุดมีหนี้เ สียสูงถึง 3.9 หมื่นล้านบาท หรือ 40% ของหนี้ทั้งหมด เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ติดลบ 0.95% และต้องการเงินเพิ่มทุน 3,000-,6000 ล้านบาท และไอแบงก์มีหนี้เสีย ณ สิ้นปี 2555 ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท หรือ 22.5% ของหนี้ทั้งหมด เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) 4.6% แต่ปัจจุบันหนี้เสียกลับเพิ่มขึ้นเป็น 3.9 หมื่นล้านบาท หรือ 30% ของหนี้ทั้งหมด ทำให้เงินกองทุน BIS ติดลบสูงถึง 5%
นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการบริหาร และประธานคณะกรรมการฟื้นฟูกิจการ เอสเอ็มอีแบงก์ ยอมรับว่า สาเหตุการเกิดเอ็นพีแอล ของธนาคารเป็นผลจาก 1.กลุ่มหนี้รายย่อย 8 พันราย มีมูลหนี้รวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท 2. กลุ่มหนี้ที่รอการชดเชยตามนโยบายรัฐบาล (PSA) จำนวน 7 พันล้านบาท เช่นโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองย่านราชประสงค์ ผลกระทบจากอุทกภัย ธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ และสินเชื่อเอื้ออาทรรถแท็กซี่ ซึ่งเริ่มติดตามทวงหนี้ไม่ได้แล้ว แต่ส่วนใหญ่มีหลักประกัน ยกเว้นหลักประกันเสื่อมสภาพ เช่นเครื่องจักร 3.กลุ่มหนี้เอ็นพีแอลและเอ็นพีเอ (สินทรัพย์รอการขาย) ที่ศาลมีคำพิพากษาและอยู่ระหว่างการบังคับคดียึดทรัพย์ขายทอดตลาด 1.07 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายธานินทร์ อังสุวรังสี ผู้จัดการ ไอแบงก์ พร้อมทีมผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่า ทีมบริหารของไอแบงก์ได้ชี้แจงแผนฟื้นฟูกิจการของธนาคาร ซึ่งจากแผนที่เสนอ ในการลดตัวเลขหนี้ถือ เป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้ แต่เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ทาง สศค.และสคร.จะส่งทีมเข้าไปติดตามความคืบหน้าของแผนเป็นรายวัน และเปิดทางให้ผู้บริหารของไอแบงก์ที่เป็นคนนอก และเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่นานสามารถจ้างทีมที่ปรึกษาจากภายนอกให้เข้ามาช่วยงานติดตามหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้ได้ โดยกระทรวงการคลังให้เวลาไอแบงก์ดำเนินการฟื้นฟูฐานะภายใน 6 เดือน หลังจากนั้นจะมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ด้าน นางสาลินี วังตาล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ออกมาบอกว่า ธปท.พร้อมให้ความช่วยเหลือกระทรวงการคลังในการแก้ไขปัญหาธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าตรวจสอบการดำเนินงานของธนาคารเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และได้รายงานผลตรวจสอบให้กระทรวงการคลังอยู่เป็นระยะ มีบางรายที่มีปัญหา ธปท.ก็ได้ทำเรื่องส่งไปยังกระทรวงคลังเพื่อให้พิจารณาแก้ไข
รวมทั้งยังยืนยันว่า เรื่องกฎเกณฑ์การกำกับดูแลแบงก์รัฐไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณภาพสินเชื่อที่ปล่อย โดยหากเป็นสินเชื่อดีไม่ต้องมีเกณฑ์เลยก็ยังได้
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยออกมาประเมินว่า รัฐบาลต้องเพิ่มเงินทุนให้แบงก์รัฐในช่วงปี 2555-2562 ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท จากการที่ต้องปล่อยกู้สนองนโยบายรัฐบาลเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้หากผู้บริหารสถาบันการเงินไม่ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเคร่งครัด โดยรักษาผลประโยชน์ของธนาคารเป็นที่ตั้ง ย่อมส่งผลกระทบต่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็เคยมีให้เห็นในอดีต
ข่าวเด่น