การตลาด
สกู๊ป : "กลุ่มเซ็นทรัล" โชว์เนื้อหอม บุกหนัก 5 ขาธุรกิจ



จากการรวมตัวของกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ภายใต้ความร่วมมือในกรอบข้อตกลงประคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของสมาชิก 10  ประเทศ จะส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ขึ้นมาในด้านของเศรษฐกิจ เนื่องจากจะมีจำนวนประชากรรวมมากถึง 600 ล้านคน

ด้วยจำนวนประชากรที่มากดังกล่าว ส่งผลให้นักธุรกิจหลายคนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนนี้  และประเทศไทยก็ถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เนื้อหอม ไม่แพ้กับประเทศน้องใหม่อย่างพม่าและเวีดนามที่กำลังร้อนแรง

ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่เนื้อหอมไม่แพ้กับประเทศไทยในขณะนี้ นั่นก็คือ  "กลุ่มเซ็นทรัล"  เพราะจากการที่กลุ่มเซ็นทรัลเริ่มมีการขยายธุรกิจไปในประเทศต่างๆ มากขึ้น  เริ่มต้นด้วยการเข้าไปเปิดห้างเซ็นทรัลจำนวน 3 สาขาในหางโจว  เฉินตู และเสิ่นหยาง ประเทศจีน  การเข้าไปซื้อกิจการห้างรีนาเซนเต  ในประเทศอิตาลี  ซึ่งขณะนี้เปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ในมิราน และฟลอเรนซ์  และอีก 1 สาขากำลังก่อสร้างในกรุงโรม

นอกจากนี้ยังมีการเข้าไปขยายธุรกิจค้าปลีกประเทศอินโดนีเซีย  ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เข้าไปบุกตลาด  ด้วยการนำห้างเซ็นทรัลเข้าไปเปิดให้บริการภายในศูนย์การค้า แกรนด์ อินโดนีเซีย ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์  ที่กรุงจาร์กาตา  ถือเป็นอีกหนึ่งกลวิธีของความสำเร็จที่ทำให้แบรนด์ค้าปลีกเซ็นทรัลเป็นที่รู้จักในทั่วโลกทั้งยุโรป  เอเชีย  และอาเซียน

นักธุรกิจที่สนใจเข้ามารุมจีบกลุ่มเซ็นทรัลอยู่ในตอนนี้มีด้วยกัน 3 ประเทศ ประกอบด้วย  ฮ่องกง และสิงคโปร์ สนใจเข้ามาเจรจาของให้กลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปพัฒนาโครงการธุรกิจค้าปลีก  ขณะที่ตนเองจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นสนใจที่จะเข้ามาร่วมทำธุรกิจเสื้อผ้า ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายสินค้าเฉพาะทาง หรือ สเปเชียลตี้สโตร์

 
 
 
สำหรับยุทธศาสตร์ที่กลุ่มเซ็นทรัลออกมาประกาศแผนเชิงรุกนับจากนี้มีด้วยกัน 3  ข้อ คือ  1. การขยายธุรกิจในประเทศ  2. การขยายธุรกิจในต่างประเทศ  และ 3. การแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจในรูปแบบของการควบรวมกิจการ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาธุรกิจกับพันธมิตรประมาณ 10 ราย  เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ  โดยในจำนวนที่ทำการเจรจาดังกล่าว  4-5 ราย เป็นกลุ่มธุรกิจของซีอาร์ซี

ขณะที่เม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนในช่วง 3 ปีนับจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจในเครือทั้ง 5  กลุ่ม  ซึ่งหากรวมมูลค่าเม็ดเงินลงทุนรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท   โดยเม็ดเงินดังกล่าวถือเป็นการลงทุนต่อเนื่องมาจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ส่วนแผนการการลงทุนในปีนี้ กลุ่มเซ็นทรัลก็ได้เตรียมงบประมาณสูงถึง 48,000 ล้านบาท  เพื่อใช้ขยายธุรกิจในเครือทั้ง 5  กลุ่ม  แบ่งเป็นงบในการลงทุนขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ  38,000  หมื่นล้านบาท  และอีก 10,000  ล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินสำรองการเข้าซื้อกิจการต่างๆ

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่กลุ่มเซ็นทรัลจะให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจนับจาก นี้ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ภายใต้การดูแลของบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือซีอาร์ซี  ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนขยายธุรกิจคร่าวๆอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท  ขณะที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา หรือซีพีเอ็น อีกหนึ่งขาธุรกิจสำคัญของกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  คาดว่าจะใช้งบประมาณ 10,000  ล้านบาท  ที่เหลืออีก  8,000 ล้านบาท จะเป็นการขยายธุรกิจในเครืออีก 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจค้าส่ง ภายใต้การบริหารของบริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง  หรือซีเอ็มจี  กลุ่มธุรกิจโรงแรม  ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ซีเอชอาร์  และกลุ่มธุรกิจอาหาร ภายใต้การบริหารของ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป

 
 
 
 
 
มองลึกลงไปอีกหน่อยของ 5  กลุ่มธุรกิจ  เริ่มต้นกันด้วย กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ของ "ซีอาร์ซี"  ในปีนี้มีแผนที่จะขยายสาขาธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะห้างโรบินสัน  ซึ่งปีนี้มีแผนที่จะเปิดให้บริการประมาณ 5 สาขา ประกอบด้วย  สาขาอุบลราชธานี  เปิดให้บริการประมาณเดือน เม.ย.  สาขาสกลนครและสระบุรีเปิดให้บริการประมาณไตรมาส 3  และสาขาบุรีรัมย์และสุรินทร์จะเปิดให้บริการประมาณไตรมาส 4 ของปีนี้

 
 
 
 
ขณะที่ "ซีพีเอ็น" ยังปูพรมตลาดต่างจังหวัด  ด้วยการยึดหัวหาดแนวตะเข็บชายแดนในการขยายศูนย์การค้าเซ็นทรัล  เพราะนอกจากจะเจาะลูกค้าในจังหวัดที่เข้าไปเปิดให้บริการแล้ว  ยังขยายฐานไปถึงจังหวัดใกล้เคียง รวมไปถึงกลุ่มเป้าหมายประเทศเพื่อนบ้าน  ยกตัวอย่างเช่น สาขาเชียงราย  มุ่งขยายฐานลูกค้าไปถึงประเทศพม่า ลาวและจีนตอนใต้  ขณะที่สาขาอุดรธานี ขยายฐานลูกค้าถึงประเทศลาว และสาขาหาดใหญ่  มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศมาเลเซีย

 
 
 
 
ส่วนธุรกิจโรงแรม ของ "ซีเอชอาร์"  ปีนี้ก็ยังคงเดินหน้ารับสิทธิ์บริหารโรงแรมไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  ขณะเดียวกันก็จะใช้แบรนด์ “โคซี่” ซึ่งเป็นโรงแรมในรูปแบบบัดเจ็ดโฮเทลหรือโรงแรมราคาถูกบุกตลาด  เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้

 
 
 
สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าส่ง  ของ "ซีเอ็มจี"  จะเน้นการนำเข้าสินค้าใหม่ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเป็นกลยุทธหลักในการทำตลาด พร้อมกันนี้ยังได้เข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศเซียงไฮ้  ประเทศจีน สิงคโปร์ และเวียดนาม  เพื่อเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศดังกล่าว  ซึ่งเบื้องต้นได้นำแบรนด์ "Payless" เข้าไปทำตลาดแล้วในประเทศเวียดนาม  และแบรนด์ "แมนเชสเตอร์" เข้าไปทำตลาดแล้วในประเทศสิงคโปร์

 
 
 
ปิดท้ายด้วยกลุ่มธุรกิจอาหาร  ของ "ซีอาร์จี"  ปีนี้จะมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ร้านอาหารในเครือและขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องประมาณ   90 สาขา เน้นร้านโยชิโนยะ ,เคเอฟซี  และ อานตี้แอนส์ เป็นหลัก  ซึ่งหลังจากกลุ่มเซ็นทรัลขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้  227,300  ล้านบาท  เติบโตจากปี  2555 ที่ 24%
 
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า "การบุกหนัก" ใน 5 ขาธุรกิจดังกล่าว จะสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้กับกลุ่มเซ็นทรัลได้เป็นกอบเป็นกำแค่ไหน และได้ดังตามที่วาดฝันไว้หรือไม่ ...แต่งานนี้ขอบอก...."คู่แข่งทางธุรกิจ" ประมาทไม่ได้กับยักษ์ใหญ่รายนี้
 

LastUpdate 12/02/2556 21:20:29 โดย : Admin
24-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 24, 2024, 12:04 am