หลังจาก "บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด" หรือที่รู้จักกันดีในนามของ "เบียร์สิงห์" ได้มาประกาศเซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรกับเบียร์คาร์ลสเบอร์ก เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา วันนี้ค่ายเบียร์สิงห์ได้ออกมาประกาศแผนลุยตลาดเบียร์ร่วมกับคาร์ลสเบอร์กอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว
กลยุทธหลักๆ ของการทำตลาดร่วมกันระหว่างค่ายเบียร์สิงห์กับคาร์ลสเบอร์กนั้น คือ การอุดช่องว่างทางธุรกิจในด้านของตลาดเบียร์พรีเมี่ยม ที่สิงห์ยังคงมีจุดอ่อนในด้านนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการนำเข้าเบียร์พรีเมี่ยมหลายยี่ห้องจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด และปั้นตัวสิงห์ไลฟ์ ขยายเข้าไปบุกตลาดเบียร์ระดับบน แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเจ้าตลาดก็ยังคงเป็นของค่ายสีเขียวอย่างเบียร์ไฮเนเก้น
แม้ว่าปัจจุบันค่าย "เบียร์ช้าง" จะพยายามปลุกปั้น "เบียร์เฟรเดอร์บรอย" เข้ามาตีตลาด แต่ก็ยังไม่สามารถโค่นแชมป์ที่แข็งแกร่งอย่างเบียร์ไฮเนเก้นได้ เนื่องจากมีความแข็งแกร่งในด้านของแบรนด์เป็นอย่างมาก
ดังนั้น การจับมือกับเบียร์คาร์สเบอร์ก ซึ่งถือเป็นเบียร์ชั้นนำอันดับ 4 ของโลก จากประเทศเดนมาร์ก จึงถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเบียร์สิงห์ ซึ่งจะส่งผลให้ค่ายเบียร์สิงห์มีสินค้าในกลุ่มเบียร์ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายตลอดระยะสัญญา 5 ปีนับจากนี้
สำหรับในปีแรกของการทำตลาด ค่ายเบียร์สิงห์ได้เตรียมงบการตลาดไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดเบียร์คาร์ลสเบอร์กไล่บี้เจ้าตลาดอย่างเบียร์ไฮเนเก้น ซึ่งในปีแรกในการลงสมรภูมิตลาด ค่ายเบียร์สิงห์คาดว่าจะมียอดขายเบียร์คาร์ลสเบอร์กไม่ต่ำกว่า 5 ล้านลิตร หลังจากนั้นปีต่อๆ ไปจะใช้งบเพิ่มขึ้นอีก 15-20% ทุกปี ในการบุกทำตลาดเบียร์ระดับพรีเมียม
ก่อนหมดสัญญา ค่ายเบียร์สิงห์ตั้งเป้าจะขึ้นเป็นผู้นำเบียร์พรีเมียม ด้วยการมียอดขาย 35 ล้านลิตร และครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 51% ซึ่งช่วงแรกของการทำตลาด ค่ายสิงห์จะนำเข้าเบียร์คาร์ลสเบิร์กแบบขวดจากประเทศลาว และแบบกระป๋องจากประเทศเวียดนาม เข้ามาทำตลาดก่อน ขณะที่ราคาขายเบียร์คาร์ลสเบอร์ก ค่ายเบียร์สิงห์ได้ตั้งราคาขายไว้เท่ากับเบียร์ไฮเนเก้น เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ชายที่ต้องการความตื่นเต้นและท้าทายชีวิต อายุ 25-30 ปี
นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการบริหาร บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่สนใจนำเบียร์คาร์ลสเบอร์กเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพราะตลาดเบียร์พรีเมียมในไทยมีผู้เล่นในตลาดน้อย ส่งผลให้ตลาดเบียร์พรีเมี่ยมไม่หวือหวา และไม่มีอัตราการเติบโต ซึ่งปัจจุบันตลาดเบียร์พรีเมียม มียอดขายเพียง 75 ล้านลิตรต่อปีเท่านั้น หรือมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 630 ล้านบาท ขณะที่ก่อนหน้านี้ตลาดเบียร์พรีเมียมเคยมีปริมาณยอดขายสูงถึง 100 ล้านลิตรต่อปี
นอกจากนี้ ตลาดเบียร์พรีเมียม ยังถือเป็นตลาดที่มีมาร์จิ้น หรือผลกำไรสูงกว่าเบียร์กลุ่มเบียร์สแตนดาร์ดและเบียร์อีโคโนมี จึงทำให้ค่ายเบียร์สิงห์เพิ่มความสนใจในการเข้ามาทำตลาดเบียร์พรีเมียมมากขึ้น และหลังจากส่งเบียร์คาร์ลสเบอร์กเข้ามาทำตลาดเบียร์พรีเมียม ค่ายสิงห์มั่นใจว่าจะทำให้ตลาดมีความคึกคักและมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นม ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดเบียร์พรีเมียมกลับมามีอัตราการเติบโตได้ปีละไม่ต่ำกว่า 10-12% สูงกว่าตลาดเบียร์รวม ที่คาดว่าเติบโตที่ 8% จากปีก่อนที่มีมูลค่ายอดขายรวม 103,000 ล้านบาท ซึ่งค่ายสิงห์มั่นใจว่า ปีนี้ภาพรวมส่วนแบ่งการตลาด จะมีมากถึง 68-70% จากปัจจุบันมีอยู่ที่ 68%
นอกจากนี้ ค่ายเบียร์สิงห์ ยังต้องการจะขึ้นเป็นผู้นำติด 1 ใน 3 ของตลาดอาเซียน เพื่อก้าวเป็นอาเซียนแบรนด์ จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 5 ในด้านของยอดขาย
นายปิติ กล่าวต่อว่า การจับมือกับคาร์ลสเบอร์กในครั้งนี้ ถือว่า "วินวิน" ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ จะเดินตามนโยบาย 2 ข้อ คือ 1. สิงห์จะไม่เทกโอเวอร์กิจการใดๆ และ 2. สิงห์จะไม่ร่วมมือกับคนที่เอาเปรียบเรา หรือเราเอาเปรียบเขา แต่จะมองไปถึงการมีอนาคตที่ดีร่วมกันอย่างน้อยก็ใน 3-5 ปีนับจากนี้ หลังจากประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 เพราะนั่นหมายถึง ประชากรของคนทั้งอาเซียน จะมีมากถึง 600 ล้านคน
นอกจากนี้ คาร์ลสเบอร์ก ยังมีฐานการผลิตในเออีซี มากถึง 8 โรงงาน ประกอบด้วย ในประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันโรงงานทั้ง 8 โรง มีกำลังการผลิตรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1,250 ล้านลิตรต่อปี ขณะที่ค่ายเบียร์สิงห์เอง ก็มีกำลังผลิตโรงงานในประเทศไทยรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านลิตรต่อปี
นอกจากจะบุกหนักในตลาดอาเซียน สิงห์ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจต่อเนื่องไปยังตลาดเอเชีย และตลาดโลก ด้วยการใช้โอกาสการเป็นพันธมิตรกับคาร์ลสเบอร์กให้มีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ การใช้ฐานการผลิตทั่วโลกของคาร์ลสเบอร์กเป็นฐานผลิตสินค้าของเบียร์สิงห์ เพื่อช่วยลดต้นทุนในด้านของการผลิต เพราะคาร์ลสเบอร์กมีฐานผลิตทั่วโลก จึงทำให้ค่ายเบียร์สิงห์ไม่ต้องใช้งบลงทุนจำนวนมากในการสร้างโรงงานเองในต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี และไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะที่ ค่ายเบียร์สิงห์ จะใช้โอกาสที่คาร์ลสเบอร์กมีฐานการผลิตอยุ่ในตลาดทั่วโลก ในส่วนของคาร์ลสเบอร์กเองก็มีแผนที่จะใช้ฐานการตลาดของสิงห์บุกตลาดในเอเซียมากขึ้นเช่นกัน เพราะปัจจุบันคาร์ลสเบอร์กมีสินค้าในพอร์ตโฟลิโอมากกว่า 500 แบรนด์ ซึ่งค่ายเบียร์สิงห์สามารถช่วยบริหารจัดการได้
ปัจจุบันคนไทยยังมีพฤติกรรมการบริโภคเบียร์ต่อคนต่อปีค่อนข้างต่ำอยู่ที่ประมาณ 32 ลิตร ซึ่งทำให้ยังมีโอกาสอีกมากในการเข้ามาทำตลาดเมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ที่มีปริมาณการบริโภคต่อคนต่อปีสูงถึง 50 ลิตร ถือว่าสูงกว่าอัตราเฉลี่ยการบริโภคของทุกประเทศรวมกันในอาเซียน ที่มีอัตราเฉลี่นต่อคนต่อปีเพียง 15 ลิตร ขณะที่ยุโรปบริโภคมากถึง 60-75 ลิตรต่อคนต่อปี จึงทำให้เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ
ข่าวเด่น