ศัลแพทย์ไทยประกาศความพร้อมจัดงาน Masterclass Project : Rhinoplasty ประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการให้กับแพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งความงามกว่า 200 คน พร้อมสาธิตการผ่าตัดเสริมจมูกด้วยการปลูกถ่ายไขมันในรูปแบบ live Surgery เป็นครั้งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 2 – 3 มีนาคม นี้ ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร ตั้งเป้าโชว์ฝีมือศัลยแพทย์ไทยเหนือชั้นเกาหลี พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่แพทย์รุ่นใหม่ หวังเตรียมพร้อมสู้ศึกแข่งขันตลาดความงาม คาดการณ์ตลาดศัลยกรรมยังโตต่อเนื่อง ผลจากศัลยกรรมในเอเชียโตเร็ว กระตุ้นรัฐหนุนปั้นไทยเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมของเอเชียหรือ “Surgical hub of Asia ”และยังหวังไกลถึงการเป็น“ศูนย์กลางศัลยกรรมที่ดีที่สุดในโลก” ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศได้มหาศาล
การประชุมเชิงปฏิบัติการที่จะเกิดขึ้นเกิดจากความร่วมมือของ แพทยสภา สมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ประเทศไทย โดย นายแพทย์สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา ได้ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เชื่อว่าจะช่วยทำให้ตลาดธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามขยายตัวมากขึ้น หลังจากที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในไทยจำนวนมากอยู่แล้วเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอาเซียนอย่างสิงค์โปร์ โดยไทยมีคนไข้ชาวต่างชาติต่อปี ประมาณ 1.4 ล้านคน ส่วนสิงค์โปร์ มีประมาณ 600,000 คน ดังนั้น AEC จะเอื้อให้ไทยมีตลาดที่ใหญ่ขึ้นในอาเซียน ด้วยการเดินทางที่สะดวกขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากประเทศอินโดนีเซียที่ปัจจุบันมักใช้บริการอยู่ในมาเลเซียและสิงค์โปร์
จากข้อมูลของสมาคมเสริมความงามนานาชาติ ระบุว่า ปริมาณการทำศัลยกรรมทั้งประเภทที่ต้องผ่าตัดและไม่ผ่าตัดนั้นในกลุ่มภูมิภาคเอเชียมีจีนครองสัดส่วนการทำศัลยกรรมสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน
สำหรับไทยเป็นชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดผลการจัดอันดับดังกล่าวและคาดการณ์ว่าในปี 2556 จะขยายตัวต่อเนื่องโดยได้รับปัจจัยหนุนจากการทำศัลยกรรมในเอเชียที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายหลังความต้องการทำศัลยกรรมตาสองชั้นและเสริมจมูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตลาดอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตามองคือ ตลาดอาเซียนกลุ่มประเทศ CLMVหรือ กัมพูชา , ลาว พม่า , เวียดนาม กำลังหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์และความงามในไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ไทยมีจุดแข็งตรงที่ชื่อเสียงด้านการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยมีความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เครื่องมือที่ทันสมัย อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับคุณภาพมาตรฐานในการรักษา ที่สำคัญไทยยังมีศักยภาพสูงด้านท่องเที่ยวและบริการที่ยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ที่เดินทางมารักษาตัวที่ไทยยังพ่วงสามารถท่องเที่ยวไปด้วยในตัวได้ด้วย ในราคาที่สม
เหตุสมผล เป็นการเกื้อหนุนภาคการท่องเที่ยวและสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศได้
ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องตระหนักถึงความสำคัญและวางนโยบายเร่งด่วนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจศัลยกรรมความงามที่มีช่องทางเติบโตสูง ด้วยการสนับสนุนธุรกิจสุขภาพและ ความงามในรูปแบบของทัวร์ศัลยกรรมทั้งระบบและร่วมผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็น " ศูนย์กลาง Surgical hub of Asia"
ด้าน นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกระแสความงามด้วยการศัลยกรรมตกแต่งว่า “เทรนด์ความงามแบบเกาหลียังคงอยู่ในกระแสของคนไทย ยิ่งปัจจุบันคลินิกความงามหลายแห่งชูจุดเด่นเฉพาะทางด้วยการผันตัวเองเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเกาหลีเพื่อส่งลูกค้าไปทำศัลยกรรม ประกอบกับกระแสวัฒนธรรมเกาหลีที่แทรกซึมเข้ามาผ่านทางสื่อบันเทิง การท่องเที่ยว สินค้าและแฟชั่น จนกลายเป็นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ไปทั่วภูมิภาค
แต่กระแสดังกล่าวจะคงอยู่ในแวดวงศัลยกรรมตกแต่งนานแค่ไหนนั้น อยู่ที่การสนับสนุนของภาครัฐ การจัดประชุมครั้งนี้มุ่งทำให้ผู้บริโภครู้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพความพร้อมในการก้าวสู่ผู้นำด้านศัลยกรรมตกแต่งในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเกิดการรวมตัวกันของกลุ่มแพทย์คนไทยที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญการด้านศัลยกรรมความงามระดับ Master กว่า 30 ท่าน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเซียที่สามารถระดมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมได้มากที่สุด โดยทุกท่านเป็นแพทย์ไทยที่มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 20 – 30 ปี ทั้งนี้ เพื่อร่วมกันประกาศศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางศัลยกรรมที่ดีที่สุดในโลก
นายแพทย์ชลธิศยังกล่าวถึงหลักสูตรที่ถือเป็นไฮไลท์ของการอบรม คือ การเสริมจมูกด้วยการปลูกถ่ายไขมัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทย อีกทั้งทำให้ได้ความงามที่เป็นธรรมชาติแต่ปัจจุบันแพทย์หลายคนนำไปประยุกต์ใช้กลับเกิดปัญหาไขมันไม่ติด ดังนั้นภายในงานครั้งนี้จะเป็นการเผยเคล็ดลับครั้งสำคัญ พร้อมผลงานการวิจัยต่อยอดโดยการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการปลูกถ่ายไขมัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
งานที่จะเกิดขึ้นช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้นับว่า เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของแพทย์ไทยที่พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่ "Surgical hub of Asia" อย่างจริงจัง แต่จะสำเร็จเป็นรูปธรรมมากเพียงใดนั้น คงต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนจากหน่วยงานภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันประกาศความพร้อมว่า “ไทยก็ไม่แพ้ชาติไหนในโลก”
ข่าวเด่น