แบงก์-นอนแบงก์
วิริยะฯประกาศศักดิ์ศรีผู้นำตลาด ลุยตลาดรถใหม่-ขยายตลาดต่ออายุ ตั้งเป้ากวาดเบี้ยปีนี้ 3 หมื่นล้าน


"วิริยะฯ" ตั้งธงลุยปี '56 ตั้งเป้ากวาดเบี้ยทะลุ 3 หมื่นล้าน โต 15% ฟันธงตลาดประกันรถยังแรงไม่ตก บุกหนักตลาดรถใหม่ แถมขยายตลาดต่ออายุ เสริมเขี้ยวเล็บตัวแทน แจงผลงานปี '55 เบี้ยสะพรั่ง 2.8 หมื่นล้าน กองทุนแข็งปึ้ก

นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา กรรมการและที่ปรึกษา บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 15% จากปีที่แล้ว โดยตลาดหลักกว่า 90% ยังมาจากประกันภัยรถยนต์ที่แนวโน้มการเติบโตในปีนี้ยังขยายตัวได้ดีที่จะมีรถยนต์ใหม่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการรถคันแรกที่มีรถรอส่งมอบในปีนี้อีกเป็นจำนวนมาก 

นอกจากนี้ รถยนต์ที่ออกสู่ตลาดในปีที่แล้วก็จะเป็นตลาดต่ออายุในปีนี้เพิ่มขึ้นด้วย ปัจจุบันบริษัทจะมียอดขายมาจาก 2 ช่องทางหลักคือ ตัวแทน และช่องทางนายหน้าดีลเลอร์รถ ซึ่งอัตราต่ออายุประมาณ 70% และปีนี้จะพยายามเพิ่มให้อัตราต่ออายุขึ้นเป็น 80% ด้วยกลยุทธ์การเพิ่มหลักสูตรฝึกอบรมศักยภาพการขายของตัวแทนนายหน้าให้มีความรู้และเข้าใจวิธีการขายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีแผนขยายตลาดตัวแทนด้วยการเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 1 หมื่นรายภายในปี 2557 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 7,000 ราย

ขณะที่ตลาดประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเติบโตจากการขยายตลาดประกันภัยทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าหมายเติบโตส่วนนี้ไม่น้อยกว่า 25% แต่กระนั้นก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียกับเบี้ยรับรวม ซึ่งปีนี้มีปัจจัยสนับสนุนที่ดีก็คือ ค่าเบี้ยประกันภัยต่อลดลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ถูกรีอินชัวเรอร์ขึ้นเบี้ยเพื่อชดเชยความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ในปี 2544

สำหรับผลประกอบการในปีที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 18.13% มีสินทรัพย์รวมกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท และเงินกองทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน 246% จากเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

 
นายกฤตวิทย์กล่าวอีกว่า การบริหารเงินกองทุนของบริษัทตามหลักเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC) นั้น ส่วนที่บริษัทถูกประเมินความเสี่ยงมากที่สุดคือ การกระจุกตัวของการลงทุน เนื่องจากมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ราคาหุ้นปรับมาค่อนข้างมาก ก็จะถูกชาร์จค่าความเสี่ยงเยอะขึ้นด้วย เฉพาะส่วนนี้ชาร์จถึงกว่า 5 พันล้านบาท แต่กระนั้นบริษัทก็ยังมีเงินกองทุนที่สูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าวค่อนข้างมาก และไม่น่าจะกระทบต่อความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท

"เราเตรียมทางเลือกในการแก้ปัญหาเอาไว้เสมอไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น ถ้าเงินกองทุนขาดเราสามารถจะขายหุ้นส่วนนี้ออกไปเพื่อลดความเสี่ยงลง และเพิ่มในเงินกองทุนได้ หรือความพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ทำได้ เพียงแต่เราไม่มีนโยบายเรื่องนี้ หรือแม้อีก 3 ปีข้างหน้าที่จะเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซีียน เราก็พร้อม"

ส่วนอัตราต้นทุนความเสียหาย หรือลอสเรโชนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 58% ซึ่งนายกฤตวิทย์กล่าวว่านโยบายของบริษัทพยายามบริหารความเสี่ยงจากการรับประกันภัยด้วยแนวคิดการเฉลี่ยภัยจากงานทั้งพอร์ต งานบางกลุ่มอาจจะกำไรมากก็จะมาชดเชยงานที่กำไรน้อย หรืองานบางประเภทอาจจะไม่ได้สร้างกำไรทันที แต่จะเน้นบริหารระยะยาวหากลูกค้าซื้อและต่ออายุ 2-3 ปี เฉลี่ยแล้วก็จะสามารถอยู่ได้

"หลักการทำธุรกิจของเราอยู่ที่ ความเป็นธรรมคือนโยบาย ทำให้เรามองว่าอัตรากำไรจากการรับประกันภัยจะต้องไม่เกิน 5% ทำแค่พอมีกำไรเหมาะสมและไม่เอาเปรียบลูกค้า ขณะเดียวกันจะหันมาหากำไรจากการลงทุนเข้ามาเสริมแทน ทำให้โดยรวมแล้วบริษัทสามารถทำกำไรได้ดีจนถึงปัจจุบัน" นายกฤตวิทย์กล่าว
 
 
 

LastUpdate 26/02/2556 15:28:24 โดย : Admin
05-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 5, 2024, 9:29 am