เริ่มมีความคึกคักเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่สมรภูมิตลาดโฮมช้อปปิ้ง ภายหลังจากตลาดทีวีดาวเทียมมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด จึงทำให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นโอกาสของการเข้ามาทำตลาดดังกล่าว ซึ่งรายล่าสุดที่เข้าสู่สนามการแข่งขันของธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง นั่นก็คือ "ช้อป ชาแนล"
ช้อป ชาแนล เกิดจากการรวมตัวของ 3 ผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ นั่นก็คือ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด,บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ธุรกิจทีวีช้อปปิ้งในประเทศญี่ปุ่น
การรวมตัวกันดังกล่าวจะดำเนินธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง ภายใต้ชื่อ "บริษัท ช้อปโกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด" ซึ่งมีทุนจดทะเบียนประมาณ 600 ล้านบาท แบ่งเป็น บริษัท ซูมิโตโม ถือหุ้น 40% บริษัท ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ถือหุ้น 30% และบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล ถือหุ้น 30% โดยมีบริษัท ซูมิโตโม เป็นผู้บริหารธุรกิจหลักดูแลทั้งในส่วนของสินค้าและการตลาด เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในด้านของการทำธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง
สำหรับช่อง ช้อป ชาแนล ของ 3 ยักษ์ใหญ่ จะผลิตรายการออกอากาศทางช่อง 62 ของจานรับสัญญาณพีเอสไอ ซึ่งเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ช้อป ชาแนล จะเริ่มทดลองออกอากาศก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือน ส.ค. นี้ โดยในส่วนของรูปแบบรายการ จะเป็นการจัดรายการสด ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าสามารถตอบโต้ได้โดยตรง
กลยุทธ ที่ "ช้อป ชาแนล" นำมาทำตลาดในช่วงแรก นั่นก็คือ การสร้างความน่าเชื่อถือ ความจริงใจ และการมีสินค้าคุณภาพ เพราะการทำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งให้ประสบความสำเร็จ ต้องได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งสินค้าที่ ช้อป ชาแนล นำมาจำหน่ายจะเน้นไปที่สินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากคนไทยมีความเชื่อและยอมรับในสินค้าญี่ปุ่นอยู่แล้ว
นายเคนจิ ชินโมริ เจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการทั่วไป แผนกสินค้าปลีกและไลฟ์สไตล์ บริษัท ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สินค้าที่มีจำหน่านในช่อง ช้อป ชาแนล จะแบ่งเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 70% และอีก 30% เป็นสินค้าในประเทศไทย ซึ่งการตัดสินใจเข้ามาทำตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยครั้งนี้ เพราะไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีโฮกาสที่ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งจะขยายตัวได้อีกมาก
ช่วงแรกของการเปิดตัวรายการ ช้อป ชาแนล จะมีสินค้าทั้งในและต่างประเทศเข้ามาทำตลาดประมาณ 150-200 รายการ และจะเพิ่มเป็น 350 รายการในสิ้นปีนี้ ซึ่งหากได้ผลการตอบรับที่ดีจากลูกค้าก็มีแผนที่จะเพิ่มรายการสินค้าให้เท่ากับที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีประมาณ 700 รายการ โดยในส่วนของสินค้าที่นำมาจำหน่ายก็จะมีทั้งเครื่องประดับ เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า อาหาร และของใช้อื่นๆ ขณะที่ราคาขายจะเริ่มต้นที่ 1,000-20,00 บาท
สำหรับค่าบริการจัดส่งสินค้า ช้อป ชาแนล คิดค่าบริการที่ 150 บาท ซึ่งในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล จะดำเนินการจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าภายใน 2 วัน ขณะที่ต่างจังหวัดคาดว่าจะใช้ระยะเวลาที่ 7 วัน โดยในส่วนของช่องทางการจ่ายเงิน ลูกค้าสามารถจ่ายได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต หรือไปรษณีย์
ในปีแรกของการทำตลาด คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาทใน 3 ปี ซึ่ง ช้อป ชาแนล หวังว่าในช่วงเวลาดังกล่าว จะสามารถขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาด แทนที่เจ้าตลาด ทีวี ไดเร็คได้อย่างแน่นอน
ด้าน ทีวี ไดเร็ค ก็เร่งเดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม ฟรีทีวี หรือแอพพลิเคชั่นบนมือถือสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเพิ่มสาขา TV Showcase หรือการขายหน้าร้าน เพิ่มอีกประมาณ 10 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 70 แห่ง ขณะเดียวกันก็จะทำเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะหันมาเน้นทำตลาด โฮม ช้อปปิ้ง ในเมืองไทยมากขึ้น ทั้งกลยุทธ์เชิง"รุกและตั้งรับ" หลังจากปีที่แล้วเน้นการขยายตลาดในต่างประเทศ ด้วยการเข้าไปเปิดตลาดในประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา และ มาเลเซีย
การหันมาทำตลาดในประเทศมากขึ้นของ ทีวี ไดเร็ค ในปีนี้ เพราะต้องการรับมือกับการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่ ที่เป็นรายใหญ่ในธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง ทั้งจากญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ และแอฟริกาใต้ ที่เตรียมเข้ามาทำตลาดในไทยเพิ่มอีก 10 รายในปีนี้ จากปัจจุบันมีทำอยู่แค่ 3 ราย คือ ทีวีไดเร็ค ,ทรู ซีเล็ค และโอ ช็อปปิ้ง
จากจำนวนคู่แข่งที่มากขึ้น ทำให้คาดการณ์กันว่าภาพรวมตลาดโฮมช้อปปิ้งในปีนี้ น่าจะมีอัตราการเติบโตเท่าตัว หรือประมาณ 100% จากปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาท ในสิ้นปีนี้ ขณะที่ภาพรวมรายได้ของทีวีไดเร็คในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,237.08 ล้านบาท เติบโต 17.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554
แค่เพียงต้นปีธุรกิจ โฮม ช้อปปิ้ง ก็เริ่มส่งสัญญาณความคึกคัก จากการที่มีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาทำตลาดมากถึง 10 ราย ประกอบกับธุรกิจเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม มีการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ถึง 10 ล้านครัวเรือน คาดว่าจะส่งผลดีให้ตลาดโฮม ช้อปปิ้ง มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดแบบนี้ไปได้อีกหลายปี
ไม่ว่าจำนวนผู้ประกอบการจะเพิ่มจำนวนเท่าใด ประโยชน์ก็ตกอยู่ที่ผู้บริโภค เพราะจะได้รับโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น
ข่าวเด่น