จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปี 2554 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบให้ตลาดกาแฟพร้อมดื่มในรูปแบบอาร์ทีดี ในเซกเมนต์ตลาดพรีเมียมมีอัตราการเติบโตลดลงไปด้วย โดยในปีที่ผ่านมาตลาดกาแฟดังกล่าวมีมูลค่าตลาดลดลงเหลือเพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อนำมาเทียบกับปีก่อนที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท
หลังจากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟพร้อมดื่มอาร์ทีดี เบอร์ดี้ จึงขอกลับมาปลุกกระแสตลาดกาแฟดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ เนื่องจากตลาดในประเทศไทยยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก
ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทย พบว่า ประชากรกว่า 60% ของไทย ยังไม่ได้เป็นผู้ดื่มกาแฟอาร์ทีดี ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวถือเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวทำรายได้ให้กับเบอร์ดี้คิดเป็นสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เบอร์ดี้ จึงเล็งเห็นโอกาสทางการตลาดในกลุ่มลูกค้าดังกล่าว โดยในอนาคตอันใกล้ เบอร์ดี้ต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เพิ่มเป็น 50% แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทำกิจกรรมทางการตลาด เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเอาไว้ให้เหนียวแน่น
นายวิชัย ชัยปินชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟพร้อมดื่มอาร์ทีดี เบอร์ดี้ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้ 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 30% ที่ใช้ไปเพียง 600 ล้านบาท เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของปีนี้บริษัทจะเน้นไปที่การจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตฉลอง 20 ปี เบอร์ดี้ใน 20 จังหวัด นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ เพื่อปลุกแบรนด์ให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง
ในด้านของการจัดจำหน่าย ปัจจุบัน เบอร์ดี้ สามารถกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดได้กว่า 90% ของร้านค้าที่จำหน่ายทั้งหมด ภายหลังจากมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่จำนวน 4 แห่ง มีทีมขายจำนวน 400 คน และมีสำนักงานขายจำนวน 34 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เบอร์ดี้ ยังเตรียมเดินเครื่องผลิตสินค้าเพิ่มภายในโรงงานใหม่แห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค สระบุรี ภายใต้งบลงทุนประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยหลังจากดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมาคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เบอร์ดี้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 360 ล้านกระป๋องต่อปี หากนำมารวมกับโรงงานเดิมจะทำให้มีกำลังผลิตเป็น 750 ล้านกระป๋องต่อปี
ขณะเดียวกัน เบอร์ดี้ ยังได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ "เบอร์ดี้ พรีโม" แบบขวดเพ็ต ราคา 20 บาท ขนาด 180 ม.ล. จำนวน 3 รสชาติ เข้าทำตลาด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า จากเดิมจะมีเพียงบรรจุภัณฑ์แบบกระป๋องจำ หน่ายเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันได้ปรับราคาขายมาอยู่ที่กระป๋องละ 13 บาท จากเดิมจำหน่ายที่ 12 บาท
สำหรับ การทำตลาด "เบอร์ดี้ พรีโม" นั้น จะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในอดีตเบอร์ดี้เคยออก "แบรนด์ ริโก้" ในรูปแบบกล่องทรงแปดเหลี่ยมเข้ามาทำตลาด เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
แต่การกลับมาเปิดตัว "เบอร์ดี้ พรีโม" เข้าทำตลาดในครั้งนี้ เบอร์ดี้มั่นใจว่าน่าจะได้ผลการตอบรับที่ดี และคาดว่าจะสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากปีนี้เบอร์ดี้จะหันมาให้ความสำคัญกับการทำประชาสัมพันธ์ การโฆษณา และใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ เบอร์ดี้ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมโรดโชว์ไปตามสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น
มหาวิทยาลัย หรืองานเทศกาลสำคัญต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งกลยุทธที่นำออกมาใช้ดังกล่าวสามารถแยกออกมาให้เห็นชัดขึ้นด้วย 3 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 กิจกรรมสำหรับผู้บริโภค โดยจะจัดกิจกรรม Concert 20 จังหวัดทั่วประเทศ โดยนำศิลปินยอดนิยม พร้อมสินค้าราคาพิเศษไปจำหน่าย และการเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 รสชาติ คือ คูลเอสเปรสโซ เชียร์ฟูล ลาเต้ และดีไลท์ มอคค่า
ส่วนที่ 2 จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการผลิต โดยประมาณเดือน ก.ค.นี้ เบอร์ดี้ มีแผนที่จะขยายโรงงานแห่งที่ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค โดยใช้งบประมาณในการลงทุนถึง 1,400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และตลาด และสร้างความมั่นใจให้กับสินค้าทั้งในด้านของความสะอาดและคุณภาพดี
ปิดท้ายด้วยส่วนที่ 3 การสื่อสารทางการตลาด ในโอกาสครบรอบ 20 ปี “เบอร์ดี้” ได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ภายใต้แนวคิด “Yes, You Can.” ที่นำเสนอแนวคิดในเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ผ่านเรื่องราวของกลุ่มคนหลากหลาย เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง
หลังจากรุกทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เบอร์ดี้คาดว่า ปีนี้จะมียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดด้วยการครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 70% ทิ้งห่างอันดับ 2 ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 20%
ปัจจุบัน ตลาดกาแฟในไทยมีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกาแฟพร้อมดื่ม หรือ อาร์ทีดี 35% หรือ 10,000 ล้านบาท กาแฟทรีอินวัน 50% หรือมูลค่า 15,000 ล้านบาท และที่เหลือ 15% เป็นกาแฟผงสำเร็จรูป ซึ่งในส่วนของตลาดรวมปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5%
ข่าวเด่น