หลังจากเร่งสร้างแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมเอสจนติดลมบนในระยะเพียงไม่ถึงปี มาวันนี้เสริมสุขพร้อมแล้วที่จะขนสินค้าในพอร์ทโฟลิโอที่ดูแลอยู่ออกมาปัดฝุ่นสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด ซึ่งสินค้าตัวต่อไปที่เสริมสุขเลือกที่จะหยิบมาทำตลาดเป็นแบรนด์ที่ 3 ต่อจากน้ำดื่มแบรนด์คริสตัล และเครื่องดื่มอัดลมแบรนด์เอส นั่นก็คือ เครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ “แรงเยอร์”
ก่อนหน้าที่เสริมสุขจะเข้ามาดูแลธุรกิจของเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ บริษัท เครื่องดื่มแรงเยอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ ได้ถูกบริษัท มหาราษฎรการเกษตร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ไทยเบฟเวอเรจ ใช้เม็ดเงินจำนวน 420 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการของบริษัท เครื่องดื่มแรงเยอร์ จำกัด เมื่อปี 2551
ต่อมาปี 2555 เสริมสุขได้ประกาศซื้อหุ้นแรงเยอร์ มูลค่า 248 ล้าน จากไทยเบฟ เพื่อจัดพอร์ตธุรกิจเครื่องดื่มไม่อัดลม ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวที่เสริมสุขนำมาซื้อหุ้นในครั้งนั้น คิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญ 20 ล้านหุ้น คิดเป็น 100% ของหุ้นที่ชำระแล้วของแรงเยอร์จากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
ขั้นตอนต่อมาเสริมสุข ได้มีการขยายสายการผลิตเครื่องดื่มใหม่ 2 สาย เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม 25% ตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภค และเพิ่มกำลังการผลิตน้ำอัดลมในบรรจุภัณฑ์ขวด PET อีก 30% เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด PET นอกจาก นี้เสริมสุขยังได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพระบบการผลิตและซัพพลายเชนทั้งระบบ เร่งสปีดการผลิตและการขนส่งสินค้าให้รวดเร็ว
เมื่อเตรียมทุกอย่างไว้พร้อม เสริมสุข จึงเริ่มเดินหน้าเสริมแกร่งทิศทางการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขยายตลาดเครื่องดื่มไม่อัดลมในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ “แรงเยอร์” เข้าทำตลาดในปีนี้ เพื่อชิงเค้กตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท และแต่ละปีมีอัตราการเติบโตที่ 10%
จากประสบการณ์การรับจ้างทำตลาดและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังที่มีมากกว่า 27 ปี ซึ่งแบรนด์ล่าสุดที่เพิ่งหมดสัญญากันไปก็คือ คาราบาวแดง ทำให้เสริมสุขมั่นใจว่า การปลุกเครื่องดื่มแรงเยอร์ หวนคืนตลาดในครั้งนี้น่าจะประสบความสำเร็จ เพราะแค่ปีแรกก็เตรียมไว้สูงถึง 1,000 ล้านบาท เพื่อปลุกกระแสเครื่องดื่มชูกำลังให้ร้อนระอุแล้วในปีนี้
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แรงเยอร์” คือ เสือตัวใหม่ของเสริมสุข ซึ่งวางโพสิชั่นนิ่งให้ “แรงเยอร์” เป็นเครื่องดื่มสำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ที่ Work Hard ภายใต้คอนเซ็ปท์ “ใส่สุดแรง” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนทำงานรุ่นใหม่ ทำงานอย่างมีความสุข ทุ่มเทสุดๆ มีเท่าไหร่ใส่เท่านั้น เพื่อผลักดันชีวิตให้ก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
นอกจากนี้ ยังสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ด้วยบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ทันสมัยกับเสือตัวใหม่ที่เข้มแข็งพร้อมทะยานไปข้างหน้า และพัฒนารสชาติที่โดนใจเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนทำงานรุ่นใหม่ ซึ่งมีวางจำหน่ายในขนาด 150 ม.ล. ราคาเพียง 10 บาทในร้านค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันก็จะอัดกิจกรรมการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายแบบ 360 องศา เพื่อเสริมแกร่งให้กับเสือตัวใหม่ โดยชูความโดดเด่นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ทั้งภาพยนตร์โฆษณาชุด “ทุ่มเท” ที่สะท้อนถึงแนวคิดการจุดประกายให้ “คนไทยทำอะไรใส่สุดแรง” ในการทำหน้าที่ของตัวเอง
พร้อมกันนี้ เสริมสุขยังจะจัดกิจกรรมโรดโชว์ไปตามสถานที่ต่างๆ โดย “สาวแรงเยอร์” ที่จะโรดโชว์ไปพบปะคนทำงานรุ่นใหม่ในปฏิบัติการ "แรงใจจากสาวแรงเยอร์" ซึ่งจะเดินสายมอบแรงเยอร์ 1,000,000 ขวดให้กับผู้บริโภคได้ทดลองชิมในเดือนเม.ย.นี้ ณ จุดรวมพลคนทำงาน อย่าง จตุจักร หมอชิต หัวลำโพง ขนส่ง และ นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังจะมีการทำโปรโมชั่นสุดโดน เมื่อสะสมฝาครบ 5 ฝา นำมาแลกแรงเยอร์ได้ฟรี 1 ขวด ที่รถขายเสริมสุขทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 เม.ย.นี้ ซึ่งปีแรกของการทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ เสริมสุขตั้งเป้าไว้ว่าจะมียอดขายประมาณ 15 ล้านขวดต่อเดือน และมีส่วนแบ่งการตลาดในปีแรกอยู่ที่ 5% จากเดิมในอดีตมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 1%
ปัจจุบัน ตลาดรวมเครื่องดื่มชูกำลัง มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ 11% แต่ในปีนี้คาดว่าตลาดรวมน่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 15% เพราะแรงเยอร์เข้ามาทำตลาด ส่งผลให้ตลาดมีคึกคักมากขึ้น ซึ่งในส่วนของผู้นำตลาดยังเป็นของแบรนด์ เอ็ม 150 มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 48% อันดับ 2 เป็นของคาราบาวแดง มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 18% และอันดับ 3 เป็นของกระทิงแดง มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 16% ซึ่งอันดับ 2 และ 3 จะมีการสลับกันไปมา
นายฐิติวุฒิ กล่าวว่า เสริมสุขมีประสบการณ์ทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมาแล้วมากกว่า 28 ปี ตั้งแต่ทำตลาดเอ็ม 150 กว่า 17 ปี และคาราบาวแดงอีก 10 ปี จนเป็นที่ 1 และที่ 2 ในตลาด ตอนนั้นขายคาราบาวแดงได้ประมาณ 30 ล้านขวดต่อเดือน คิดว่าตอนนี้อีก 3 ปี คงจะขายแรงเยอร์ได้ 30 ล้านขวดต่อเดือนเช่นกัน
หลังจากปลุกเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์เข้ามาทำตลาด เสริมสุขก็มีแผนที่จะนำสินค้าในเครือกลุ่มอื่นๆ ทยอยเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น กาแฟกระป๋องแบล็คอัพ หรือน้ำเกลือแร่เพาเวอร์พลัส ซึ่งจะทยอยนำออกมาทำตลาดเป็นรายการต่อไปหลังจากนี้
ส่วนแผนการขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มอาหาร ขณะนี้เสริมสุขอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา ซึ่งการดำเนินธุรกิจอาหารเสริมสุขกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ทั้งการจับมือร่วมกับพันธมิตร และการโยกสินค้าจากบริษัทมาให้เสริมสุขดูแล
ข่าวเด่น