ตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 มี.ค.-22 มี.ค.56) ดัชนีได้ปรับตัวลงรุนแรงแบบที่ไม่มีใครคาดคิด จนทำให้นักลงทุนหลายรายที่ตั้งรับไม่ทันต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนผ่านสมรภูมิรบครั้งใหญ่
เพราะแค่เวลาเพียง 5 วัน จากต้นสัปดาห์ที่ดัชนีอยู่ระดับ 1,591.65 จุด ก็ร่วงอย่างรุนแรงลงมาปิดตลาด ณ วันที่ 22 มี.ค.ที่ 1,478.97 จุด ทำให้ภาพรวมทั้ง 5 วัน ดัชนีปรับตัวลดลงถึง 112.68 จุด
โดยในวันทำการสุดท้าย (22มี.ค.) ดัชนีได้สร้างสถิติที่นักลงทุนไม่มีวันลืม เนื่องจากมีการปรับตัวลดลงถึง 50.55 จุด หรือ 3.30% มูลค่าการซื้อขาย 1.01 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์
และการปรับตัวลดลงดังกล่าว ยังส่งผลให้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ลดลงถึง 1 ล้านล้านบาท จากต้นสัปดาห์ด้วย
ซึ่งสถานการณ์นี้ "จรัมพร โชติเสถียร" กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ จึงต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวฉุกเฉิน โดยชี้ให้นักลงทุนเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นผลจากการขายทำกำไรตามปกติ เพราะนับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหลักทรัพย์ก็ปรับตัวขึ้นถึง 15% แล้ว และหากใครเข้าลงทุนตั้งแต่ปีก่อน ก็มีโอกาสได้ผลดีจากการปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 50%
ดังนั้นโดยส่วนตัวจึงมองว่า เป็นโอกาสดี ที่นักลงทุนจะปรับพอร์ตและประเมินผลตนเองว่า ต้องการลงทุนในลักษณะเก็งกำไร หรือลงทุนระยะยาวในการลงทุนรอบต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้สามารถเลือกหุ้นได้อย่างเหมาะสมขึ้นยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นการลงทุนตามกระแสของตลาดอย่างที่ผ่านมาเท่านั้น
ทั้งนี้ เพราะข้อมูลล่า สุด ณ วัน 22 มี.ค. ได้บ่งชี้ชัดเจนแล้วว่า หุ้นที่มีการเก็งกำไรสูง เช่น ติดกลุ่มเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ มีการปรับตัวลดลงรุนแรงถึงราว 8-14% ส่วนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีการปรับตัวลงเพียง 2-3% เท่านั้น
"ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ถือเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะปรับพอร์ตได้ และเป็นโอกาสของนักลงทุนหน้าใหม่ให้ได้มองเห็นเหรียญทั้ง 2 ด้านว่า ตลาดก็มีทั้งขาขึ้นและขาลง ไม่มีตลาดไหนที่ขึ้นอย่างเดียวหรอก"
อย่างไรก็ตา มเมื่อตลาดปรับตัวลงแล้ว ไม่ว่าจะเพราะด้วยเหตุผลใด แต่ชีวิตของนักลงทุนต้องดำเนินต่อไป ด้วยการ "ปรับพอร์ต" ให้เหมาะสม พร้อมรับมือกับตลาดรอบใหม่มากขึ้น!!!
โดยในสัปดาห์นี้ ( 25-29 มี.ค.) "ชัย จิรเสวีนุประพันธ์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน ประเมินแนวรับที่ระดับ 1,515 จุด แนวต้านที่ 1,570 จุด
พร้อมกับแนะนำ ให้เลือกหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการทำ Window Dressing เช่น บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SAT) บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)(TCAP) บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (BIGC) รวมถึงหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี เช่น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(INTUCH) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)(ADVANC)
ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำให้เลือกหุ้น"ทยอยเข้าซื้อ" ได้ เนื่องจากการปรับตัวลงแรงของดัชนี ทำให้ราคาหุ้นหลายตัวลดลงมาในระดับราคาที่น่าดึงดูดใจ แต่ควรเป็นลักษณะทยอยสะสมช่วงตลาดลบ เพื่อถือไว้รอลุ้นตลาดรีบาวด์กลับขึ้นครั้งใหม่ต่อไป แต่จังหวะบวกกลับขึ้นไม่ควรซื้อไล่ราคาเพราะยังมีความเสี่ยงอยู่
ซึ่งหุ้นเด่นทางเทคนิค ได้แก่ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)(RML) บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน)(THRE) บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)(GLOBAL)
ศึกครั้งใหม่กำลังจะเปิดฉากแล้ว หากยังไม่ปรับตัว คงยากที่จะฝ่าสมรภูมินี้ไปได้..!!
ข่าวเด่น