จากชีวิตที่เร่งรีบของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้อาหารจานด่วนหรือ ฟาสต์ฟู้ด เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้บริโภคมากขึ้น สังเกตได้จากอัตราการเติบโตของธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดในแต่ปีละที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20%
ปัจจุบันภาพรวมตลาดอาหารฟาสต์ฟู้ดมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตในระดับเดียวกับปีทีผ่านมาคือ 15-20% เนื่องจากผู้ประกอบการในตลาดยังคงมีการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีการเปิดตัวเมนูใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
นอกจากนี้การจัดกิจกรรมทางการตลาด และการทำโปรโมชั่นสินค้าที่มีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการลดราคาสินค้า หรือซื้อ 1 แถม 1 ถือเป็นอีกแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจและเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ จึงหันมาใช้กลยุทธทำโปรโมชั่นเป็นกลยุทธหลักในการทำตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวอย่างตอนนี้
จากนโยบายรถคันแรกของภาครัฐที่ประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา ถือว่าได้ผลการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี สังเกตได้จากยอดการจองรถยนต์ที่เกือบทะลุล้าน แต่จากกำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มที่ไม่สูงพอที่เข้าร่วมนโยบายดังกล่าว เริ่มส่งผลในด้านลบ นั่นก็คือ การทิ้งเงินจอง และบางรายก็เริ่มหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพราะต้องใช้เงินส่วนหนึ่งไปกับการผ่อนรถ
ผู้ประกอบการหลายรายออกมาวิเคราะห์ว่า กลุ่มผู้บริโภคที่มีแนวโน้มชะลอกำลังซื้อสูง คือ กลุ่มที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 20,000 บาท ซึ่งถือเป็นฐานใหญ่ของกลุ่มผู้บริโภค จากผลกระทบที่เริ่มส่งสัญญาณดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องออกมาทำโปรโมชั่นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มชะลอการบริโภคในร้านอาหาร
นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนะโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้บริหารร้านเชสเตอร์ กล่าวว่า การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในปีนี้ยังคงมีการแข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะการจัดโปรดมชั่นเมนูอาหารราคาประหยัด เพราะจากนโยบายรถคันแรกที่ผู้บริโภคเข้าร่วม เริ่มส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปผ่อนรถ จะเห็นได้ว่าตอนนี้ลูกค้าในแต่ละร้านอาหารเริ่มปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในส่วนของร้านเชสเตอร์เองก็มีการนำเสนอเมนูราคาพิเศษ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ขนมปังฮอทดอกราคา 20 บาท ข้าวไก่ย่างน้ำตก 49 บาท สลัดเชสเตอร์ 39 บาท และปีกไก่พริกไทยดำ 39 บาท
นอกจากนี้ ยังมีเมนูใหม่อย่างข้าวปลาแซลมอนย่างมะนาว และอาหารชุดเมนูต่างๆ ซึ่งราคาจะเริ่มตั้งแต่ 199-499 บาท เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะเพิ่มเมนูใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องอีก 6-7 เมนูในปีนี้
ปัจจุบันภายในร้านเชสเตอร์มีเมนูอาหารให้ลูกค้าเลือกมากกว่า 28 เมนู ซึ่งเมนูที่สร้างยอดขายให้มากที่สุดยังคงเป็นเมนูข้าวคิดเป็นสัดส่วน 40% ตามด้วยเมนูไก่ 10% ที่เหลืออีก50% เป็นเมนูเส้น อาหารว่าง เครื่องดื่ม และของหวาน
ในด้านของการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ ร้านเชสเตอร์ มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 15-20 สาขา ภายใต้งบลงทุน 120 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็จะปรับปรุงสาขาเก่าอีกประมาณ 10 สาขา ภายในงบลงทุน 30 ล้านบาท ซึ่งทำเลหลักที่จะยึดในการเปิดสาขาใหม่คือ ห้างค้าปลีก
พร้อมกันนี้ ทำเลในปั้มน้ำมัน ปตท. ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่ร้านเชสเตอร์จะให้ความสำคัญนับจากนี้ เนื่องจากปั้ม ปตท.มีแผนที่จะขยายสาขาปั้มน้ำมันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปีนี้จะเป็นปีแรกที่ร้านเชสเตอร์จะเข้าไปเปิดสาขาในปั้มน้ำมันมากกว่า 10 สาขา จากปกติจะเปิดปีละ 5-6 สาขาเท่านั้น
ปัจจัยที่ร้านเชสเตอร์ให้ความสำคัญในการเปิดร้านใหม่ นอกจากจะเป็นช่องทางทำให้ขยายตัวได้เร็วแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ใช้งบในการลงทุนน้อย เพราะร้านเชสเตอร์ที่เปิดให้บริการในปั้มจะใช้พื้นที่เพียง 120 ตร.ม. และใช้งบลงทุนเพียง 4 ล้านบาทเท่านั้น แต่ถ้าเป็นร้านปกติจะใช้พื้นที่ 150 ตร.ม. ใช้งบลงทุน 5-6 ล้านบาท โดยภายใน 5 ปีนับจากนี้คาดว่าจะมีสาขาร้านเชสเตอร์ในปั้ม ปตท.ไม่ต่ำกว่า 50 สาขา จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ 40 สาขา ขณะที่สาขารวมมีอยู่ที่ประมาณ 176 สาขา
นอกจากนี้ ร้านเชสเตอร์ ยังมีแผนที่จะทยอยเปลี่ยนชื่อร้านจากเชสเตอร์กริลล์ มาเป็นร้านเชสเตอร์ เนื่องจากต้องการสื่อถึงเมนูอาหารที่มีความหลากหลายไม่ใช่แค่เมนูไก่ย่างอย่างเดียว โดยคาดว่าภาย 2 ปีนับจากนี้จะทยอยเปลี่ยนชื่อเป็นร้านเชสเตอร์ได้ทั้งหมด
สำหรับร้านแมคโดนัลด์ เจ้าตลาดอาหารฟาสต์ฟู้ดด้านเบอร์เกอร์ ก็ยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง น.ส.เพชรัตน์ อุทัยสาง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารร้านแมคโดนัลด์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเน้นการทำตลาดในส่วนของเมนูอาหารเช้า ภายหลังพบว่าสัดส่วนรายได้จากอาหารเช้ายังมีสัดส่วนอยู่ในระดับ 15% จึงน่าจะมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก
จากตัวเลขการเติบโตของเมนูมื้อเช้าที่เข้ามาทำตลาดตั้งแต่ปี 2551 หรือประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 202% ขณะที่ยอดลูกค้าเข้าร้านช่วงเช้าเพิ่มขึ้น148% ซึ่งในส่วนของยอดการซื้อช่วงเช้าเฉลี่ย 100 บาทต่อบิล ถือว่าใกล้เคียงกับมื้อทั่วไปและบางครั้งมากกว่า แมคโดนัลด์จึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว
กลยุทธที่ แมคโดนัลด์เลือกมาใช้สำหรับการทำตลาดเมนูมื้อเช้าคือ การเปิดสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเมนูบริการประมาณ 7-8 เมนู เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00-11.00 น. เช่น แมคมัฟฟิน ราคาเริ่มต้นที่ 25 บาท โจ๊กหมูและโจ๊กไก่ราคา 29 บาท เป็นต้น
ทั้งนี้แมคโดนัลด์มีร้านที่เปิดบริการเมนูเช้าประมาณ 139 สาขา รวมทั้งร้านที่เป็นไดร์ฟทรูด้วย 40 สาขา จากทั้งหมดในไทยที่มี 182 สาขา ซึ่งหลังจากรุกทำตลาดมากขึ้นคาดว่าจะมียอดขายจากเมนูมื้อเช้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น 40%
ฝั่งร้านเคเอฟซี แม้ว่าจะไม่มีการออกมาเปิดแผนการทำตลาดผ่านสื่อเหมือนกับคู่แข่งในตลาด โดยยังคงบุกตลาดแบบนิ่งๆ ทั้งในส่วนของการเปิดตัวสินค้าใหม่ และทำโปรโมชั่นสินค้า ซึ่งยังคงยึดระดับราคาขายเมนูเป็นเซ็ตแบบหลายคนรับประทานที่ 189-388 บาท เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค
จากมูลค่าตลาดรวมอาหารฟาสต์ฟู้ดมูลค่า 20,000 ล้านบาท ตลาดหลักที่ยังคงมียอดขายนำโด่งยังคงเป็นตลาดไก่ 50% ตามด้วยตลาดพิซซ่า 30% และตลาดเบอร์เกอร์ 20%
ข่าวเด่น