ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับงวดผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2556 ซึ่งธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิหลังภาษีจำนวน 1,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125%
เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิหลังภาษีจำนวน 809 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่โดยได้หักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพื่อการเปรียบเทียบแล้ว ทั้งนี้ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1/2556 ดังกล่าวเป็นผลที่เกิดจากการพัฒนาบริการทางการเงินที่ตรงใจลูกค้า
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 นี้ ธนาคารมีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำไรจากการดำเนินงานหลักปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ประกอบกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 3% โดยธนาคารสามารถเพิ่มรายได้ทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยและมิใช่ดอกเบี้ย รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 21% และรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบปีก่อน เนื่องจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในผลิตภัณฑ์และบริการด้านธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมในการขายหน่วยลงทุน ธุรกิจประกัน และค่าธรรมเนียมสินเชื่อ ทั้งนี้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin – NIM) เพิ่มขึ้นเป็น 2.95% หรือเพิ่มขึ้น 44 จุด (bps) จาก 2.51% ในไตรมาสที่ 1/2555 อันเป็นผลของการบริหารต้นทุนเงินฝากที่ดีและการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อ”
ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2556 นี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-performing Loans) ลดลงประมาณ 230 ล้านบาท จากสิ้นปี 2555 ทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมลดลงเป็น 4.0% จาก 4.1% เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ทำให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจาก 113% เป็น 118% ในขณะที่สินเชื่อคุณภาพ (Performing Loans) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 0.4% จากสิ้นปี 2555 โดยในไตรมาสที่ 1 นี้ สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่บางส่วนมีการคืนเงินให้สินเชื่อระยะสั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับในไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว สินเชื่อคุณภาพเพิ่มขึ้น 17% โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อทุกประเภทนำโดยสินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก ส่วนปริมาณเงินฝากอยู่ในระดับเดียวกันกับเมื่อสิ้นปี 2555 และมีอัตราเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับในไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว
ธนาคารได้ดำเนินนโยบายด้านการบริหารสภาพคล่องที่รอบคอบระมัดระวัง โดยดำรงสภาพคล่องไว้ในระดับสูง ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit ratio) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 92% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 และ ธนาคารดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่งภายใต้เกณฑ์ Basel III โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio -- CAR) อยู่ที่ 17.3% ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.5%
ข่าวเด่น