การตลาด
สกู๊ป : "เซ็นทรัล เอ็มบาสซี" ย้ำเจาะลูกค้าหรู...หลังพบไทยนั่ง "อันดับ 6" ช้อปแบรนด์เนมโลก


 

 แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะอยู่ในสถานการณ์ที่ชะลอตัว  แต่หากมองภาพจำนวนจักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี  โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียด้วยกัน  ซึ่งขาช้อปต่างชาติที่เข้ามาช้อปปิ้งในประเทศไทยมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น ประเทศจีน  อินเดีย และ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกัน  หากมองในภาพกลับกันนักท่องเที่ยวชาวไทยก็มีการเดินทางออกไปนักประเทศ  เพื่อท่องเที่ยวและจับจ่ายซื้อสินค้าเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประเทศที่ชาช้อปชาวไทยให้ความสนใจเดินทางเข้าไปช้อปปิ้งมากที่สุด นั่นก็ถือ "ยุโรป" เพราะเป็นแหล่งรวมของสินค้าแบรนด์เนม

จากแนวโน้มดังกล่าว  "โกลบอล บลู"   (Global Blue) บริษัทชั้นนำด้านร้านค้าปลอดภาษี  ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า  นักท่องเที่ยวชาวไทยมีการจับจ่ายสินค้าปลอดภาษีเป็นอันดับ 6 ของโลก เพราะมีการจับจ่ายเพิ่มขึ้นถึง  38%  เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2555  ขณะที่ 5 อันดับแรก  ประกอบด้วย  จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย อเมริกา และ มาเลเซีย 
 
 
 
 
นายชาติ  จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี กล่าวว่า  จากรายงานของ โกลบอล บลู  ชี้ให้เห็นเทรนด์การจับจ่ายสินค้าปลอดภาษีทั่วโลกในไตรมาสแรกที่ผ่านมายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มกำลังซื้อหลักสินค้าปลอดภาษียังคงมาจากภูมิภาคเอเชีย ประกอบด้วย จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย  และไทย เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี

จากข้อมูลของ โกลบอล บลู  ยังพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองมากที่สุด  เพราะมีอัตราการซื้อสินค้าปลอดภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 38% นับเป็นการเติบโตสูงสุดอันดับ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2555  ซึ่งเทรนด์การช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยมีการขยายตัวจากการจับจ่ายเฉพาะในเอเชียสู่การจับจ่ายสินค้าหรูหราในประเทศชั้นนำของยุโรปเริ่มเห็นภาพได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยประเทศที่นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยให้ความสนใจเข้าไปท่องเที่ยวและช้อปปิ้งมากที่สุด คือ  กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

 
 
 
แม้ว่าประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีการจับจ่ายสินค้าปลอดภาษีมากที่สุด ส่งผลให้แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างประเทศจีน ซึ่งไตรมาสแรกของปีนี้มีการจับจ่ายสินค้าปลอดภาษีขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึง  58%  แต่หากมองภาพโดยรวม ประเทศจีน ยังคงเป็นที่ 1 ในด้านของการจับจ่ายสินค้าปลอดภาษี เพราะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังคงเดินหน้าสู่ยุโรป เพื่อช้อปสินค้าแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง  

จากข้อมูลดังกล่าว ส่งผลให้โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี  มีความมั่นใจมากขึ้นกับวางวางแนวทางธุรกิจมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายคนนุ่นใหม่ระดับเอบวกในภูมิภาคเอเชีย  ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมการใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยว  เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆที่ไม่เคยได้รับมาก่อน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เริ่มมีกำลังซื้อมากพอ คือ อย่างกลุ่มลูกค้าเอเชียระดับบีบวกในประเทศจีน

 
 
 
ด้วยเหตุนี้  โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี  จึงได้วางกลยุทธการเจาะกลุ่มเป้าหมายไว้ด้วยกัน 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่ม  Recession Resistance หรือ กลุ่มลูกค้าเอเชียระดับเอบวก ซึ่งโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน  2. กลุ่ม New Sophisticates  หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการศึกษาสูง กระตือรือร้น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เป็นเอกเทศทางความคิด  และมักจะเป็นผู้นำเทรนด์ใหม่ๆในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย

3. กลุ่ม Young Guns  หรือกลุ่มประชากรรุ่นใหม่ในเอเชียที่อายุอยู่ ระหว่าง 20 – 40 ปี แต่นับเป็นกลุ่มลูกค้า Class A เป็น Young executive อายุ 25 – 44 ปี หรือ กลุ่ม 3rd generation ลูกหลานรุ่นใหม่ ของครอบครัวที่ทรงอิทธิพลทางการเงิน ซึ่งการที่โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว  เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวเหล่านี้เริ่มเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และหนึ่งในนั้น คือ การช้อปปิ้ง  ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจ

นายชาติกล่าวว่า  เมื่อโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดตัว ไม่ได้เป็นแค่การแนะนำศูนย์การค้าแห่งใหม่เท่านั้น แต่เป็นการแนะนำประสบการณ์ใหม่แห่งลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์สู่ทวีปเอเชีย เพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่ให้กับมหานครกรุงเทพฯ และจะนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ที่จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม Asian Luxury Traveler จากจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย

สิ่งที่โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มั่นใจว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในประเทศไทยและจับจ่ายซื้อสินค้าภายในโครงการ คือ  การตกแต่งโครงการด้วยคอนเซ็ป The Infinite Connections ซึ่งจะยกระดับประสบการณ์การช็อปปิ้งอีกระดับในมุมมองของ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี  ด้วยเสน่ห์ของการบริการในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งการใช้ชีวิต ความดื่มด่ำแห่งการกินดื่ม สุนทรียภาพทิวทัศน์ สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น การผ่อนคลายหรือการบริการชั้นเลิศ รวมไปถึงการช็อปปิ้งด้วยร้านแบรนด์ที่ครบครัน เพื่อสร้างความทรงจำดีๆ ให้ลูกค้านำกลับไป

แต่จากกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยที่อยู่ในระดับที่สูง ยังคงส่งผลให้การช้อปปิ้งซื้อสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยยังไม่เติบโตในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งปัญหาดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักช้อปชาวไทยนิยมเดินทางไปช้อปปิ้งในต่างประเทศ

 
 
 
นายชาติกล่าวต่อว่า  การที่ต่างประเทศมียอดขายสินค้าปลอดภาษีเติบโตสูงเป็นเพราะอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า  จึงทำให้ราคาสินค้าถูกกว่าในประเทศไทย ขณะเดียวกันยังได้รับอภิสิทธิ์ในการขอคืนภาษี หากประเทศไทยสามารถลดภาษีนำเข้า จะถือเป็นโอกาสในการสร้างจุดขายที่ชัดเจนให้สามารถดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้เข้ามามาจับจ่ายภายในประเทศไทยมากขึ้น

สำหรับพื้นที่ขายโครงการเซ็นทรัล  เอ็มบาสซีใน ขณะนี้ปล่อยได้แล้วมากกว่า  90%  จากพื้นที่ทั้งหมด ส่วนสินค้าลักชัวรีแบรนด์มีเข้ามาจองพื้นที่แล้ว  30%  ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่จะเป็นแบรนด์ใหม่ที่ไม่เคยเปิดมาก่อนในไทยหรือเป็นอินเตอร์แบรนด์ที่เคยเปิดในไทยมาแล้วแต่จะเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมมากกว่า 50 แบรนด์ ทั้งนี้ โครงการเซ็นทรัล  เอ็มบาสซี  คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปลายปีนี้.

LastUpdate 11/05/2556 13:04:34 โดย : Admin
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 1:53 pm