แบงก์-นอนแบงก์
กรุงศรีทุ่ม 1.7 พันล้าน ปั้นสาขายุคใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพ "คน-เทคโนโลยี" ดันยอดเงินฝาก-สินเชื่อ-กองทุนโตพรวด




 
 
 
นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ธนาคารมีแผนจะลงทุนอีกกว่า 1.7 พันล้านบาท สำหรับปรับปรุงและพัฒนาสาขา ตู้เอทีเอ็ม บูธแลกเงิน ตลอดจนเป็นงบประมาณพัฒนาและจ่ายผลตอบแทนพิเศษจากการขายให้้แก่พนักงานในสาขา เพื่อให้มีศักยภาพและแรงจูงใจเพิ่มขึ้น

สำหรับแผนในปีนี้ธนาคารมีแผนจะปรับปรุงทำเลที่ตั้งของสาขาที่มีอยู่ให้มีศักยภาพการทำตลาดเพิ่มขึ้น โดยอาจปิดสาขาที่ให้บริการอยู่เดิมประมาณ 12 แห่ง และจะย้ายไปเปิดในทำเลที่ดีขึ้นแทนที่ รวมถึงเปิดสาขาแห่งใหม่เพิ่มเติมประมาณ 16-18 แห่ง นอกจากนี้ จะมีบางสาขาที่ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายในสาขาให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย

ฉะนั้น จำนวนสาขาภายในสิ้นปีนี้น่าจะเพิ่มจาก 602 สาขา ไปเป็น 605 สาขา ตู้เอทีเอ็มจาก 4,435 ตู้ เพิ่มเป็น 4,628 ตู้ และบูธแลกเงินจาก 79 บูธ ไปเป็น 92 บูธ
 
 
 
 
"เราคงไม่ได้เร่งเพิ่มจำนวนสาขามากๆ แต่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของสาขาและทีมพนักงานที่เข้าไปให้บริการในสาขามากกว่า เพราะมองว่าแทนที่เราจะไปลงทุนกับจำนวนสาขามากๆ แต่เน้นให้มีในระดับที่แข่งขันได้ เพียงพอจะรองรับการบริการที่ครอบคลุม และนำงบประมาณส่วนที่เหลือไปสนับสนุนด้านการพัฒนาคนและผลตอบแทนให้สูงขึ้นแทน"

ในด้านการพัฒนาพนักงานและผลตอบแทนในปีนี้ นายพงษ์อนันต์กล่าวว่า ปีนี้น่าจะเพิ่มพนักงานขึ้นอีกราว 200 ตำแหน่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 6,000 คน ทั้งยังจะเพิ่มศักยภาพการบริการและการขายของพนักงานให้เพิ่มขึ้น โดยได้กันงบฯ ส่วนดังกล่าวไว้ถึง 550 ล้านบาท สำหรับพัฒนาบุคลากรและให้ผลตอบแทนที่จูงใจแก่พนักงานสาขา ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้การบริการผ่านสาขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"เรากล้าพูดได้ว่า ธนาคารกรุงศรีฯ มีโครงสร้างจ่ายผลตอบแทนการขายให้แก่พนักงานได้สูงที่สุดในตลาด ซึ่งค่าเฉลี่ยของพนักงานโดยรวมจะได้รับผลตอบแทนจากการขายประมาณ 7 เท่าของเงินเดือน ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ประมาณ 2.8 - 3 เท่าของเงินเดือนเท่านั้น จะเห็นได้ว่าเราเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและการขายเข้าไป จึงเท่ากับเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีสำหรับพนักงานด้วย"

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้นำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนในการเพิ่มศักยภาพการทำงานของพนักงาน ทั้งระบบวิเคราะห์ลูกค้ารายบุคคล เพื่อให้สามารถระบุผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ เข้ามานำเสนอแก่ลูกค้าได้ตรงกับความต้องการ ขณะเดียวกันก็มีระบบคำแนะนำผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยให้พนักงานเปิดการขายได้ง่ายขึ้นตามประเภทของผลิตภัณฑ์การเงินที่ระบบวิเคราะห์มาให้แล้ว 
 
 
 
 
รวมถึงธนาคารยังมีระบบสแกนภาพเพื่อช่วยให้กระบวนการส่งข้อมูลใบสมัครสินเชื่อทำได้ง่ายขึ้น ลดเวลาการพิจารณาสินเชื่อลง โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีเหลือใช้เวลาเพียง 3 วัน จากเดิม 7 วัน และสินเชื่อกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์อนุมัติได้ใน 1-2 วัน จากเดิม 5-7 วัน

เขากล่าวอีกว่า ปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าน่าการลงทุนเพิ่มครั้งนี้น่าจะสนับสนุนให้ปีนี้ธนาคารมีปริมาณธุรกรรมผ่านสาขาได้เติบโตขึ้น โดยมีปริมาณเงินฝากขยายตัวขึ้น 12% สินเชื่อโดยรวมขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 15% และปริมาณการขายกองทุนรวมเติบโตขึ้นกว่า 30% อีกด้วย
 

LastUpdate 16/05/2556 12:22:41 โดย : Admin
11-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 11, 2024, 7:26 am