จากการขยายตัวของธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ หรือ ร้านเพื่อสุขภาพและความงาม อย่างเช่น ร้านบู๊ทส์ และร้านวัตสัน ที่เริ่มแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาตลาดค้าปลีกในรูปแบบดังกล่าวเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตมากถึง 18% สูงกว่าค้าปลีกในรูปแบบอื่นๆ ยกเว้น คอนวีเนียนสโตร์ หรือ ร้านสะดวกซื้อ ที่เติบโตเท่ากันที่ประมาณ 18%
ส่วน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ อย่างเช่น โรบินสัน เซ็นทรัล และเดอะมอลล์ ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 12% เช่นเดียวกับ ซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปส์ เซ็นทรัลฟ็ดฮอลล์ โฮมเฟรชมาร์ท หรือ กรูเมต์มาร์เก็ต มีอัตราการเติบโตที่ 12% ขณะที่ซูเปอร์เซ็นเตอร์ อย่างเช่น บิ๊กซีซูเปอร์มาร์เก็ต และเทสโก้โลตัส มีอัตรากรเติบโตที่ 10%
แนวโน้มการเติบโตที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้ผู้เล่นรายหลักในธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ อย่างร้านบู๊ทส์ และร้านวัตสัน ต้องออกมาทำกิจกรรมมากขึ้น เพราะปัจจุบันเริ่มมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำตลาด เช่น ร้านซูรูฮะ ของเครือสหพัฒน์ ขณะที่ร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่อย่างร้านเซเว่นอีเลฟเว่นก็ปรับแผนรุกหันมาเปิดร้านเอ็กซ์ตร้าภายในพื้นที่เดียวกันจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามมากขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า
กลยุทธหลักที่ร้านค้าทั้ง 2 แบรนด์เลือกหยิบมาใช้ นอกจากการทำโปรโมชั่น การทำกิจกรรมการตลาด และการเพิ่มรายการสินค้าให้มากขึ้นแล้ว การเปิดสาขาใหม่ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธที่ผู้ประกอบการทั้ง 2 ร้านค้าเลือก เพราะการมีจำนวนสาขาที่มากขึ้นสามารถทำให้สินค้าครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
นายร็อด เร้าท์ลี่ย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด ผู้บริหารร้านวัตสัน กล่าวว่า จากแนวโน้มของธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ หรือ ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงามในไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีความมั่นใจที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 350 ล้านบาทในการขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 50 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 15 สาขา และต่างจังหวัด 35 สาขา
จำนวนสาขาที่ร้านวัตสันจะขยายเพิ่มดังกล่าวในปีนี้ ถือเป็นการขยายสาขาเพิ่มมากที่สุดในรอบ 9 ปี ที่ทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งในส่วนของปีที่ผ่านมาร้านวัตสันวางแผนไว้ว่าจะเปิดสาขาใหม่ไว้ที่ประมาณ 24 สาขา แต่จากแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับบริษัทได้รับโอกาสให้เปิดสาขาใหม่ จึงส่งผลให้ปีที่ผ่านมาเป็นอีก 1 ปีที่ผ่านมาสามารถเปิดสาขาใหม่ได้มากถึง 50 สาขา
จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ปีที่ผ่านมาร้านวัตสันมีจำนวนร้านที่เปิดให้บริการรวมทั้งหมดที่ประมาณ 254 สาขา และจากปีนี้ที่จะขยายเพิ่มอีก 50 สาขา จะส่งผลให้สิ้นปีนี้ร้านวัตสันจะมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการไม่ต่ำกว่า 304 สาขา โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 8 สาขา ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด
นอกจากนี้ ร้านวัตสันยังเดินหน้าปรับปรุงสาขาเดิมให้มีความทันสมัย โดยขณะนี้ได้เริ่มทยอยปรับร้านวัตสันเป็นโฉมใหม่หรือรีเฟรช (Refresh) เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าภายในปี 2557 จะสามารถปรับปรุงร้านวัตสันสาขาเดิมเป็นโฉมใหม่ได้ครบทุกสาขา
นายร็อด กล่าวว่า บริษัทค่อนข้างมีความมั่นใจว่ากลยุทธ์ที่นำมาใช้ในปีนี้ โดยเฉพาะการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำควบคู่ไปกับกลยุทธ์การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การรีเฟรชแบรนด์ การทำบัตรสมาชิก และการสื่อสารระบบดิจิตอล จะทำให้ร้านวัตสันสามารถขยายธุรกิจได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการมีรายได้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักเหมือนกับปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันวัตสันมีผู้ถือบัตรสมาชิกกว่า 1 ล้านราย ตั้งเป้าหมายปีนี้เพิ่มเป็น 1.6 ล้านราย ส่วนผลิตภัณฑ์แบรนด์วัตสันมียอดขายเติบโต 25% และปีนี้วางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 100 รายการ ซึ่งสินค้าที่จะเน้นนำมาทำตลาดมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าดูแลผิว ของใช้ส่วนตัว และกลุ่มสินค้าดูแลเส้นผม เพราะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ส่วนการทำกิจกรรมการตลาดผ่านเฟซบุ๊ควัตสันไทยแลนด์ ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 400,000 ราย มากเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจร้านค้าปลีกในไทย นอกจากนี้ ร้านวัตสันยังได้ทำการเปิดตัวแอพพลิเคชันบนมือถือ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค ซึ่งหลังจากเปิดตัวแอพพลิเคชั่นบนมือถือไปเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของไทยแลนด์แอพโตร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ร้านวัตสันกำลังเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ และทำกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่ม ในด้านของร้านบู๊ทส์เองก็เดินหน้าเปิดสาขาใหม่ และทำกิจกรรมทางการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่มฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
น.ส.ประภาพรรณ พลอยแสงงาม ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านบู๊ทส์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดร้านบู๊ทส์สาขาใหม่ที่ประมาณ 30 สาขา เท่ากับปีที่ผ่านมาที่เปิดสาขาใหม่ไปประมาณ 30 สาขา เนื่องจากบริษัทต้องการให้ร้านบู๊ทส์ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยปัจจุบันร้านบู๊ทส์มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 227 สาขาทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ร้านบู๊ทส์ ยังมีแผนที่จะเดินหน้าปรับปรุงสาขาเก่าให้มีความทันสมัย ด้วยรูปโฉมใหม่เหมือนกับสาขาที่ ดิ เอ็มโพเรียม และอัมรินทร์พลาซ่า โดยในส่วนของปีนี้คาดว่าจะปรับปรุงสาขาเก่าได้ประมาณ 5 สาขา ซึ่งการที่ร้านบู๊ทส์หันมาปรับปรุงสาขาเก่า และเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะว่าการแข่งขันในตลาดมีความรุนแรงมากขึ้น
น.ส.ประภาพรรณ กล่าวว่า สิ่งที่ร้านบู๊ทส์ต้องการทำอีกอย่างต่อเนื่อง นอกจากการปรับปรุงสาขาเก่าและเปิดสาขาใหม่ คือ การพัฒนาร้านบู๊ทส์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นระบบสมาชิก การทำโปรโมชั่นกับลูกค้า หรือการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวที่สกัดจากธรรมชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งค้าที่ร้านบู๊ทส์ให้ความสำคัญ เพราะเป็นสินค้าที่มีอัตราการเติบโตค่อนข้างดีไม่ต่ำกว่า 35% จากการออกมาเปิดแผนธุรกิจในรูปแบบดังกล่าว ร้านบู๊ทส์ คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก
ข่าวเด่น