นับวันการแข่งขันของธุรกิจทีวีดาวเทียมจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการขับเขี้ยวของ 2 ค่ายหลักอย่างทรูวิชั่นส์และซีทีเอช เพราะหลังจากทรูวิชั่นส์เสียสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษให้กับซีทีเอชไป ทรูวิชั่นก็ต้องออกมาปรับแผนการทำตลาด ด้วยการเพิ่มความเข้มข้นของคอนเทนต์รายการต่างๆให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์กีฬา บันเทิง เด็ก หรือสาระความรู้
ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาทรูวิชั่นส์ได้เริ่มมีการปรับทัพการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ก็ยังคงทำอยู่ ซึ่งจากการพลาดสิทธิ์ดังกล่าวส่งผลให้ปีนี้ทรูวิชั่นส์ต้องทุ่มงบในการซื้อคอนเทนต์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากทุกปีที่ผ่านมาจะใช้งบซื้อคอนเทนต์ใหม่อยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท แต่ปีนี้ต้องใช้งบเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาท ไม่นับรวมงบการทำตลาด ซึ่งปีนี้จะใช้อีกไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ทรูวิชั่นส์จะยึดเป็นกลยุทธหลักมีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อใหญ่ คือ 1.การตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านของคอนเทนต์รายการชั่นนำที่ดีที่สุด และ 2.การมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุด 3.การมีแพคเกจที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค 4.การให้บริการที่เป็นเลิศ และ 5.การมอบสิทธิประโยชน์ที่เหนือชั้นให้กับลูกค้า
ล่าสุด ทรูวิชั่นส์ ได้มีการนำเสนอแพ็คเกจชมรายการใหม่มานำเสนอลูกค้าด้วยกัน 2 แพ็คเกจ คือ ซุปเปอร์โนว – เลจ แพ็กเกจ เป็นแพ็กเกจที่เน้นช่องรายการสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพความรู้ด้านต่าง ๆ จำนวน 116 ช่อง ในแพ็คเกจดังกล่าวจะมีการดึงช่องคุณภาพอันดับ 1 ของโลก ทั้ง Discovery Home & Health , Discover Turbo , Discovery Science และอีกมากมายมารวมอยู่ในแพ็คเกจดังกล่าวในราคา 560 บาท/เดือน
ขณะที่อีกหนึ่งแพ็คเกจ คือ ซุปเปอร์สปอร์ตส์ แพ็กเกจ จะเป็นแพ็คเกจที่มีความหลายหลายในด้านของรายการกีฬาคุณภาพ ทั้งกีฬาระดับโลก และระดับประเทศ รวม 11 ช่องรายการกีฬา จากจำนวนช่องทั้งหมด 95 ช่อง ซึ่งในส่วนของรายการดังที่นำมา เช่น TrueSport HD2 , Golf Channel Thailand HD , Truesport6 , Truesport7 และอีกมากมาย จำหน่ายในราคา 495บาท/เดือน โดยหลังจากเปิดตัวแพ็คเกจดังกล่าวเข้าทำตลาด ทรูวิชั่นส์ คาดว่าจะมีฐานสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย จากปีที่ผ่านมามีฐานสมาชิกเก่าอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านราย
ก่อนหน้านี้ ทรูวิชั่นส์ มีแพ็คแกจหลักทำตลาดอยู่ด้วยกัน 3 แพ็คเกจ ประกอบด้วย แพลทนั่มเอชดี รวมรายการดังทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 145 ช่อง โดยทรูวิชั่นส์กำหนดราคาแพ็คเกจดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 2,155.15 บาทต่อเดือน ขระที่แพ็คเกจ โกลด์เอชดี ชมรายการดังทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 124 ช่อง มีราคาแพ็คเกจอยู่ที่ 1,568.12 บาทต่อเดือน และแพ็คเกจโนวเลจ ชมรายการดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ 88 ช่องราคา 299 บาทต่อเดือน
นายอาณัติ เมฆไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ลูกค้าของทรูชั่นส์ค่อนข้างมีความหลากหลาย และส่วนใหญ่จะนิยมชมรายการบันเทิงมากกว่ากีฬา หรือคิดเป็นอัตราส่วนของลูกค้าที่ชมรายการกีฬาอยู่ที่ประมาณ 10-20% จากจำนวนลูกค้าทั้งหมด จึงทำให้บริษัทมั่นใจว่าการนำคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาให้บริการลูกค้าน่าจะทำให้ได้ผลการตอบรับที่ดี ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าการที่บริษัทหมดสัญญาลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษไม่น่าสงผลกระทบกับรายได้ของบริษัทอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ตลอดทั้งปีนี้ทรูวิชั่นส์ยังมีแผนที่จะเดินหน้าซื้อคอนเทนต์คุณภาพใหม่ๆ เข้ามาไว้คอยบริการลูกค้า การออกมาใช้กลยุทธดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้ทรูวิชั่นส์น่าจะเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้ส่วนหนึ่งแล้ว ยังถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธในการช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่า
แม้ว่าทรูจะออกมาเปิดเผยว่าการที่พลาดสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอดลพรีเมียร์ลีกอังกฤษในฤดูกาลถัดไปว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ แต่ขณะเดียวกันก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนเม็ดเงินที่เคยได้รับจากการขายโฆษณาให้กับสปอนเซอร์ต้องหายไปนับจากสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขัน 2012/2013 จากเม็ดเงินส่วนหนึ่งที่กำลังจะหายไป จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม ทรูวิชั่นส์ จึงต้องออกมาเปิดเกมรุกขนคอนเทนต์ใหม่ๆ มาเอาใจลูกค้า
ขณะที่ทรูวิชั่นส์กำลังลุยคอนเทนต์ใหม่พร้อมเปิดตัวแพ็คเกจใหม่ ในฝั่งของผู้คว้าชัยชนะการรับสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างซีทีเอช ก็ไม่ได้หยุดนิ่งเช่นกัน ทยอยออกเปิดตัวคอนเทนต์รายการใหม่ๆ มาเอาใจสมาชิกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีแม่เหล็กหลักอย่างพรีเมียร์ลีกเป็นแม่ทัพสำคัญในการขยายฐานลูกค้าใหม่
เมื่อไม่นานมานี้ ซีทีเอช ได้จับมือกับพันธมิตรคอนเทนต์จากต่างประเทศรายใหญ่อย่างฟอกซ์ เพื่อนำรายการดังมาออกอากาศทางช่องของซีทีเอส เนื่องจากก่อนหน้านี้คอนเทนต์รายการส่วนใหญ่ของซีทีเอชจะเป็นคอนเทนต์รายการในประเทศ ดังนั้นการที่ซีทีเอชเริ่มดึงคอนเทนต์จากต่างประเทศเข้ามาให้บริการ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธในการยกระดับช่องรายการของซีทีเอชให้อยู่ในระดับสากลมากขึ้น
นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจับมือร่วมกับฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แชนแนล(เอฟไอซี) เพื่อนำคอนเทนต์รายการต่างๆของฟ็อกซ์ มาออกอากาศอากาศในช่องของซีทีเอชในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับสมาชิก เพราะนอกจากฟ็อกซ์จะนำรายการดังต่างๆ มาออกอากาศในช่องของซีทีเอชแล้วยังมีการนำรายการใหม่ๆที่มีเคยออกอากาศที่ไหนมาก่อนมาออกอากาศ เช่น FOX Action Movies และ FOX Sport News
การจับมือร่วมกับฟ็อกซ์ดังกล่าว ซีทีเอชได้ใช้งบลงทุนไปประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับการนำคอนเทนต์รายการต่างๆ มาออกอากาศภายใต้ระยะสัญญา 5 ปี ขณะที่งบลงทุนรวมสำหรับการซื้อคอนเทนต์ต่างๆในปีนี้ ซีทีเอช ได้เตรียมไว้ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินลงทุนที่เหลือยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะนำไปใช้ในส่วนไหนบ้าง
นอกจากนี้ ล่าสุดซีทีเอช ยังได้มีการปรับภาพลักษณ์องค์กรคั้งใหญ่ ด้วยการล้างภาพลักษณ์โลโก้ที่สื่อถึงความสนุกสนานเป็นโลโก้แห่งเทคโนโลยี ขณะเดียวกันก็ประกาศถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจ ซึ่งซีทีเอชจะมุ่งไปที่การเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจดิจิตอลบรอดแบรนด์ภายใน 2 ปีนับจากนี้
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ขณะนี้ ซีทีเอช อยู่ระหว่างการเปลี่ยนกล่องรับสัญญาณให้กับสมาชิกเก่าจำนวน 2.5 ล้านราย ซึ่งขณะนี้เปลี่ยนไปได้แล้วประมาณ 1 ล้านราย ขณะที่เป้าหมายการเพิ่มสมาชิกใหม่ในปีนี้ ซีทีเอช คาดว่าสิ้นปีจะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 3.5 ล้านราย และ 7 ล้านรายในอีก 2 ปีข้างหน้า
จากแนวทางธุรกิจที่ประกาศออกมาดังกล่าว ซีทีเอช ยังได้ประกาศ 8 ขาธุรกิจที่จะทำพาให้ซีทีเอช เป็นบริษัทบรอดแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ ประกอบด้วย เคเบิ้ลทีวี ,ดิจิตอลมีเดีย ,รีเสิร์ชเฮ้าส์ ,โฮมช้อปปิ้ง,บีทูบี ,อินเตอร์เน็ต ,ดาต้าเบสมาร์เก็ตติ้ง และไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง แต่ขาธุรกิจแรกที่ ซีทีเอช จะดึงมาลุยธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ในปีนี้คือ เคเบิ้ลทีวี หลังจากนั้นจะเริ่มปูทางธุรกิจอินเตอร์เน็ต ตามด้วยธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง และธุรกิจดิจิตอลมีเดีย คาดว่าภายใน 2 ปีจะทยอยดำเนินธุรกิจทั้ง 8 ขาได้ครบ เพื่อผลักดันรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 1 แสนล้านบาทในอีก 2 ปี
นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปรับภาพลักษณ์องค์กรในครั้งนี้นอกจากจะมีการเปลี่ยนโลโก้ เพื่อให้ผู้บริโภคจำแบรนด์ของซีทีเอชได้ง่ายขึ้นแล้ว บริษัทยังได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทจากบริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ ซีทีเอช จะทยอยปล่อยหมัดเด็ดออกมาวางแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เชื่อว่าผู้บริโภคทั้งในส่วนของที่เป็นสมาชิกของซีทีเอชและยังไม่เป็นสมาชิกอยากรู้ คือ การกำหนดราคาแพ็คเกจฟุตบอลพรีเมียร์ลีกว่าจะออกมาราคาเท่าไหร่ และชมได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเบื้องต้นซีทีเอชแย้มมาว่าจะกำหนดราคาแพ็คเกจอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมไม่เกิน 1,000 บาท
จากความสนใจที่มีเป็นจำนวนมากในราคาแพ็คเกจพรีเมียร์ลีค ส่งงผลให้มีข่าวหลายกระแสออกมาว่ามีราคาแพ็คเกจออกมาแล้ว เช่น ล่าสุดมีผู้ที่อยู่ในวงการสื่อออกมาให้ข่าวว่า ราคาแพ็คเกจจะเริ่มต้นที่เดือนละ 399 บาท ดูการแข่งขันได้ 4-5 นัด แต่สามารถซื้อสิทธิดูการถ่ายทอดแต่ละคู่เพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ ตามที่ต้องการ และถ้าต้องการดูครบทุกแมตช์จะมีค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท จะใช่แพ็คเกจนี้หรือไม่กลางเดือนนี้คงได้รู้กันแล้ว เพราะซีทีเอชจะออกมาเปิดตัวทุกแพ็คเกจอย่างหมดเปลือก
ข่าวเด่น