หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ผลิตและจำหน่ายไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เครื่องดื่มน้ำดำที่เคยเป็นผู้นำตลาดอย่าง "เป๊ปซี่" ก็อยู่ในตลาดแบบเงียบๆ ปล่อยให้คู่แข่งรายหลักอย่าง"โค้ก" และผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง"เอส โคล่า" ลุยทำกิจกรรมการตลาดกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าวันนี้ตัวเลขที่แน่ชัดจะยังไม่รู้ว่าใคร คือ "ผู้นำตลาด" เพราะแต่ละรายก็ต่างเคลมว่า ขณะนี้ตัวเองเป็นผู้นำตลาดน้ำดำแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโค้ก หรือ เอส โคล่า
แม้ว่าขณะนี้จะเริ่มเข้าสู่หน้าฝน แต่จากสภาพอากาศในตอนกลางวันที่ยังค่อนข้างร้อน ยังคงส่งผลให้เครื่องดื่มน้ำอัดลมยังมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ประกอบกับผู้เล่นในตลาดต่างออกมาทำกิจกรรมการตลาดกันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะผู้เล่นแบรนด์ใหม่อย่างเอสโคล่า ที่ออกมาโหมกิจกรรมการตลาดอย่างหนักเพื่อสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก จึงทำให้ปีนี้น่าจะเป็นอีก 1 ปีที่ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมน่าจะมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก และส่งผลให้มีมูลค่าทะลุ 40,000 ล้านบาท
กลยุทธที่ผู้เล่นในตลาดน้ำอัดลมเลือกที่จะหยิบมาใช้ในปีนี้ ส่วนใหญ่ยังคงเล่นกันในเรื่องของบรรจุภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถตั้งราคาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย ขณะเดียวกันก็มีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับห้างค้าปลีก ซึ่งหลังจากใช้กลยุทธดังกล่าวผู้เล่นแต่ละรายก็ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
"เป๊ปซี่" ถือเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่หันมาใช้กลยุทธดังกล่าวในการทำตลาด โดยล่าสุดได้ออกมาเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ใหม่ “เป๊ปซี่ กระป๋องสลิม” รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ขนาด 245 มล. ภายใต้แนวคิด ”เป๊ปซี่ สลิม แคน เท่ ซ่า” เข้าทำตลาด เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภค จากเดิมจะเน้นการจำหน่ายในรูปแบบขวดพีอีทีเป็นหลัก และกระป๋องขนาด 325 มล.
นางเจษฎากร ธนาธิป ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมภายใต้แบรนด์ เป๊ปซี่ มิรินด้า เซ่เว่นอัพ เป๊ปซีแม็กซ์ และน้ำดื่มอควาเลส กล่าวว่า การเปิดตัวเป๊ปซี่ กระป๋องสลิม เข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ น่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เพราะด้วยรูปแบบดีไซน์ลวดลายสไตล์ใหม่ป๊อปอาร์ต เพราะมีการพิมพ์รูป “บียองเซ่ “ลงบนกระป๋อง ซึ่งถือเป็นพรีเซ็นเตอร์เป๊ปซี่ โกลบอล น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค
สำหรับแผนการทำตลาดสินค้าดังกล่าว เป๊ปซี่จะจำหน่ายสินค้าดังกล่าวเพียง 3 เดือนเท่านั้น เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภค โดยจะเริ่มจำหน่ายอย่างจริงจังตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ส.ค. 2556 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด โดยขณะนี้ได้เริ่มทดลองนำสินค้าเข้าทำตลาดไปบ้างแล้ว ด้วยการวางราคาขายไว้ที่กระป๋องละ 12 บาท
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป๊ปซี่ได้หยุดสายการผลิตและทำตลาดเครื่องดื่มอัดลมแบบกระป๋อง ขนาด 325 มล. ราคา 14 บาท ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันไม่มีจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว โดยแผนธุรกิจหลังจากนี้ จะหันมาให้ความสำคัญกับการผลิตรูปแบบไซส์เล็ก เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาสิ่งใหม่ๆ และเหมาะกับการดื่ม
นางเจษฎากร กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้หันมาทำสินค้าไซส์เล็ก เพราะเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ ประกอบกับพฤติกรรมการบริโภคน้ำอัดลมในปัจจุบัน นิยมดื่มรูปแบบของของขวดเพ็ท เพราะมีความสะดวกในการบริโภค ขณะที่บรรจุภัณฑ์รูปแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ได้รับความนิยมสูง โดยมีสัดส่วนในตลาดถึง 70% โดยแบ่งเป็นขวดพีอีที 85% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นขนาดกระป๋อง 5% เป็นขวดแบบวันเวย์
นอกจากจะเป็นตัว เป๊ปซี่ กระป๋องสลิม เข้าทำตลาดแล้ว ในส่วนของแบรนด์มิรินด้า ซึ่งประกอบด้วยน้ำส้ม น้ำแดง และน้ำเขียว รวมถึงแบรนด์ของเซเว่น อัพ เป๊ปซีก็ได้ทยอยผลิตสินค้าในรูปแบบกระป๋องสลิมเข้ามาทำตลาดแล้วเช่นกัน โดยในส่วนของช่องทางหลักการทำตลาดยังคงเน้นไปที่โมเดิร์นเทรด และเทรดิชั่นนัลเทรด หรือร้านค้าปลีก รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 29 แห่ง
นอกจากนี้ เป๊ปซี่ ยังได้เตรียมงบการตลาดกว่า 70 ล้านบาท เพื่อใช้ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์แบบ 360 องศา ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เป๊ปซี่ มั่นใจว่า “เป๊ปซี่ กระป๋องสลิม” จะสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้คนไทยได้ดื่มด่ำความสดชื่นอย่างมีสไตล์กับเทรนด์สุดฮอต “PEPSI SLIM CAN เท่ ซ่า เป๊ปซี่ เท่านั้น” และคาดว่า “เป๊ปซี่ กระป๋องสลิม” จะสามารถสร้างรายได้ให้กับเป๊ปซี่เพิ่มขึ้นได้เป็นที่น่าพอใจ
ก่อนหน้าที่จะออกมาเปิดตัวสินค้าดังกล่าว ต้นปีที่ผ่านมา เป๊ปซี่ ได้ออกมาทำกิจกรรมการตลาดภายใต้ แคมเปญ “LIVE FOR NOW - นาทีนี้เต็มที่เลย” เพื่อเน้นย้ำถึงจุดยืนของแบรนด์ที่ต้องการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เปิดรับความท้าทายใหม่ๆ ในทุกนาที และสนุกสนานอย่างเต็มที่ในแบบฉบับของตัวเอง รวมถึงปลุกกระแสในการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ผ่านกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน
แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป๊ปซี่ จะออกมาทำกิจกรรมการตลาดและโฆษณาสินค้าผ่านสื่อน้อยกว่าคู่แข่งในตลาด แต่ เป๊ปซี่ก็ออกมาบอกว่ากิจกรรมที่ทำเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจจากผู้บริโภค โดยสิ้นปีนี้ เป๊ปซี่ คาดว่าจะมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เช่นเดียวกับส่วนแบ่งการตลาดทั้งน้ำดำและน้ำสี
นอกจากจะวางหมากปลายน้ำในด้านของตัวสินค้า ซึ่งจะขนเข้าทำตลาดผ่านช่องทางต่างๆ แล้ว ในด้านของต้นน้ำ เป๊ปซี่ก็มีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างเต็มที่เช่นกัน โดยเฉพาะการเพิ่มไลน์ผลิตในบรรจุภัณฑ์แบบกระป๋องสลิม ซึ่งตอนนี้มีกำลังการผลิตมากถึง 1,000 กระป๋องต่อนาที เนื่องจาก เป๊ปซี่ มั่นใจว่าบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบดังกล่าวน่าจะโดนใจคนรุ่นใหม่
หลังจากสิ้นสุดสัญญาการจ้างบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผลิตและจำหน่ายสินค้าไปเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เป๊ปซี่ต้องใช้งบก้อนโต 5,200 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานเป็นของตัวเอง เพื่อเดินเครื่องผลิตสินค้าด้วยตัวเองทันทีหลังหมดสัญญา
ปัจจุบัน เป๊ปซี่ มีโรงงานผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมอยู่ที่ นิคม อมตะซิตี้ จ.ระยอง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 96 ขณะนี้เฟสที่ 1 แล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องผลิตสินค้าในรูปแบบขวดพีอีทีและกระป๋อง ขณะที่เฟส 2 จะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิตภายในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งโรงงานแห่งดังกล่าว ถือเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเป๊ปซี่ทั่วโลก
หลังจากใช้เงินก้อนโตในการลงทุนโรงงานไปกว่า 5,000 ล้านบาท เป๊ปซี่ ยังได้เตรียมงบงบประมาณ 18,400 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ปี 2555-2558 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตให้กับธุรกิจ ซึ่งในส่วนของเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.ลงทุนในด้านการผลิตและการกระจายสินค้า 2.ลงทุนในด้านการทำกิจกรรมการตลาด เพื่อสร้างกระแสความนิยมและรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด ทั้งในด้านของยอดขาย และการเป็นแบรนด์ในดวงใจอันดับ 1 ของผู้บริโภค 3.ลงทุนในด้านการจ้างงานและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่จัดจำหน่ายสินค้า เป๊ปซี่ได้มอบหมายให้บริษัท ดีเอชแอล เป็นผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดให้ ซึ่งเป๊ปซี่ มั่นใจว่า ดีเอชแอลจะสามารถจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมได้ครอบคลุมทุกช่องทางจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าทั่วไป ร้านอาหาร โรงหนัง และร้านค้าส่งทั่วประเทศ
ข่าวเด่น