แม้ครึ่งแรกของปี2556 หุ้นไทยจะอยู่ในภาวะตลาด กระทิง ซึ่งเรียกได้ว่ามีการซื้อขายกันอย่างคึกคักจนทำให้อุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์(บล.) รับอานิสสงส์จากการเป็นนายหน้าค้าหุ้นกันไปเต็มๆก็ตาม แต่ในขณะนี้เมื่อสถานการณ์ลงทุนเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง จึงไม่ง่ายเลยที่บล.กสิกรไทย ภายใต้การบริหารของแม่ทัพใหม่จะฝ่าด่านหินนี้ไปได้

"ธิติ ตันติกุลานันท์" ประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์ให้ฟังว่าบริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างความแข็งแกร่งในทุกด้านให้ดียิ่งกว่าเดิม ทั้งในมิติของ "ลูกค้า"ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่จะตั้งเป้าเพิ่มจำนวนบัญชีใหม่อีก1.8หมื่นรายเท่านั้น แต่จะเน้นให้ลูกค้าเดิมที่เปิดบัญชีอยู่ก่อนแล้วเข้ามาสนใจซื้อขายมากขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่มีปริมาณการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ(active)ราว 43%

ทั้งนี้กลยุทธ์ที่บริษัทจะนำมาต่อยอด คือ จะมีการพัฒนาบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ได้ 120 หลักทรัพย์ ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมภายในปีนี้ เพิ่มจากที่มีอยู่90 หลักทรัพย์ในปัจจุบัน จากนั้นในปี2557จะขยายบทวิเคราะห์ครอบคลุมถึง140หลักทรัพย์ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจุดดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาใช้บริการได้

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะ "ออกสินค้าใหม่ๆ"เข้ามารองรับความต้องการนักลงทุน เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(Derivative warrant:DW) และหุ้นกู้อนุพันธ์(Structured Note) นับตั้งแต่ไตรมาส3/56นี้เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแส สามารถตอบโจทย์การสร้างผลตอบแทนในภาวะที่ตลาดผันผวนได้ อีกทั้งจะยังเป็นการอุดช่องโหว่ของบริษัทในเรื่องการสร้างสินค้าให้ครบวงจรด้วย หลังจากที่ผ่านมายังไม่ได้เน้นในด้านนี้เท่าที่ควร

"เราพยายามจะรักษาความเป็น Top of mind โบรกเกอร์แรกที่นักลงทุนเลือก และเป็น 1 ใน 3 โบรกเกอร์ชั้นนำของตลาด โดยการเสริมจุดแข็งควบคู่กับการสร้างบริการที่แตกต่างให้กับลูกค้า ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนให้ครบถ้วน เพื่อตอบสนองทุกรูปแบบของการลงทุนที่ลูกค้าต้องการ และวางนโยบายขยายฐานลูกค้าร่วมกับธนาคารกสิกรไทยด้วย"

สำหรับงานด้าน"วานิชธนกิจ"นั้น บล.กสิกรไทย มีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(IPO) 4-5 บริษัท รวมมูลค่าระดมทุนราว 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ประมาณไตรมาส 3-4/56 นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ภายปีนี้ ซึ่งมีทั้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงยังมีงานที่ปรึกษา IPO ที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 5 ดีลด้วย

"จากแผนที่ทำมาทั้งหมดนี้ เราตั้งเป้าว่าน่าจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ธุรกิจหลักทรัพย์สิ้นปีอยู่ที่ 5.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5% กว่า และปี 57 น่าจะสูงกว่า 6% ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นโบรกเกอร์อันดับ 2 จากขณะนี้อยู่ในอันดับ 3-4ได้ในที่สุด"

จับตาการเปลี่ยนแปลงของบล.กสิกรไว้ให้ดีว่า ภายใต้การบัญชาของแม่ทัพคนใหม่นี้ จะทำให้เป้าหมาย"หายใจรดต้นคอจ่อแชมป์" เป็นจริงอย่างที่หวังได้หรือไม่