อสังหาริมทรัพย์
"เมเจอร์" ปรับแผนลงทุน ลดความเสี่ยง หันเจาะลูกค้าระดับกลาง-ล่าง


 

 
 
 
"เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์" เตรียมรับมือสารพัดปัจจัยลบรุมเร้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง ต้นทุนพุ่ง แรงงานขาดแคลน ปรับแผนลงทุนเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ส่ง "โครงการ มา-เอส-โตร 39" ย่านสุขุมวิท ชิมลาง ก่อนขยายการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แย้มแผนลดต้นทุนการเงิน นำ "ออฟฟิศ-โรงแรม"ขายเข้า "พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์" 

นับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เน้นลงทุนโครงการระดับไฮเอนด์มาอย่างต่อเนื่อง เพราะมั่นใจว่าลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง อีกทั้งยังไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมากนัก แต่ในช่วงนี้ ทั้งสภาพเศรษฐกิจและสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมถูกรุมเร้่าด้วยปัจจัยลบมากมาย ซึ่งเป็นปััจจัยภายนอกที่เหนือการควบคุม ไม่ว่าจะเป็น ความผันผวนทางเศรฐกิจ การเมือง แรงงานขาดแคลน  ค่าก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น  รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ไม่แน่นอน ซึ่งกระทบต่อต้นทุนพัฒนาโครงการโดยตรง ทำให้บริษัท เมเจอร์ฯ ตัดสินใจปรับนโยบายการลงทุนใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม
     
 
 
 
 
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปััจจุบัน ประสบกับปัจจัยลบมากมาย  ทำให้บริษัทต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยการปรับนโยบายการลงทุนใหม่ จากเดิมที่บริษัทจะเน้นการลงทุนโครงการระดับไฮเอนด์เท่านั้น แต่จากนี้ไปจะขยายการลงทุนสู่โครงการระดับกลางและล่างด้วย เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมทั้งจะหาทางลดต้นทุนด้านการเงินด้วย

สำหรับแผนการลงทุนโครงการใหม่นั้น จะลงทุนโครงการระดับกลางในสัดส่วน 50%-60% ที่กำหนดราคาขายไว้ที่ 70,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร โครงการระดับไฮเอนด์ สัดส่วน 10% ราคาขายที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร โครงการระดับกลาง-ล่าง สัดส่วน 15% ราคาขายที่ 50,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนที่อีก 5-10% จะลงทุนโครงการประเภท คอมมูนิตี้มอลล์ ออฟฟิศเช่า และโรงแรม

ในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 20,000ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เปิดตัวโครงการใหม่เพียง  3 โครงการ โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้เปิดขายโครงการใหม่ไปแล้ว 5 โครงการ ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการใหม่ภายใต้แบรนด์มา-เอส-โตร 2 โครงการ และแบรนด์ใหม่ เน้นลูกค้าระดับกลาง 2โครงการ และโครงการภายใต้แบรนด์แมนเนอร์ 1โครงการ

 
 
 
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ แบรนด์ มา-เอส-โตร 39 (MAESTRO39) เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมือง ถนนสุขุมวิท 39 ขนาด 1 ไร่เศษ จำนวน 90 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย เริ่มต้นที่ 30 ตารางเมตร ถึง 122 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 110,000 บาท  มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท เน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น โดยจะเปิดพรีเซลวันที่ 17ก.ค.นี้ ขณะนี้มียอดจองแล้ว ประมาณ 20% คาดว่าภายในปี 2556 จะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด
 
 
 
 
นางสาวเพชรลดา กล่าวอีกว่า นอกจากปรับนโยบายการลงทุนแล้ว บริษัทยังมีแผนเพิ่มการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นด้วย โดยจะลงทุนโครงการออฟฟิศให้เช่า และโรงแรม โดยในส่วนของโครงการออฟฟิศเช่าและโรงแรมนั้น ได้ลงทุนโครงการ อิควิน็อคซ์ เป็นโครงการคอนโดผสมออฟฟิศเช่า โครงการมาราเกซ หัวหิน เป็นโครงการคอนโดมิเนียมผสมโรงแรม ส่วนโครงการที่จะลงทุนในอนาคต คือ โครงการชิคดิสทริคท์ กรุงเทพกรีฑา คาดว่าจะลงทุนได้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า และโครงการคอนโดมิเนียมผสมโรงแรมในพัทยาจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาสแรกของปี 2557 ขณะที่โครงการออฟฟิศเช่าในย่านซอยทองหล่อ จะเริ่มก่อสร้างในปลายปีนี้หรือต้นปี 2557 

นอกจากนี้ ใน ปี 2560 บริษัทยังมีแผนที่จะนำโครงการประเภทให้เช่า ทั้งออฟฟิศและโรงแรม ทั้งโครงการเก่าและโครงการใหม่ ขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ (property fund) มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาลงทุนโครงการใหม่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มีเงินเพียงพอต่อการขยายการลงทุนแล้ว ยังมีต้นทุนทางการเงินลดลงด้วย ขณะเดียวกัน ในปี 2557 มีแผนจะขยายการลงทุนสู่โรงแรมระดับ 5 ดาว

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มียอดขาย 2,000 ล้านบาทเศษ และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดขายอีก 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ทั้งปี 6,000ล้านบาท

LastUpdate 10/07/2556 10:25:36 โดย : Admin
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 1:15 am