หลังศึกษาตลาดประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมาพักใหญ่ วันนี้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น พร้อมแล้วที่จะเปิดตลาดอาเซียน ซึ่งประเทศที่จะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการเข้าไปทำธุรกิจศูนย์การค้านั่นก็คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม
สำหรับประเทศแรกซีพีเอ็น เลือกที่จะเข้าไปเปิดศูนย์การค้า คือ มาเลเซีย เนื่องจากมาเลเซียเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากรัฐบาลเน้นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ประกอบกับภาครัฐมีการเบิกจ่ายงบเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ธุรกิจหลายด้านในมาเลเซียมีการขยายตัวที่ดี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการ การเงิน หรือธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2556 นี้ มาเลเซียจะมีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 5.5%
จากปัจจัยหนุนดังกล่าว ประกอบกับธุรกิจค้าปลีกในมาเลเซียยังขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดไม่มาก และค้าปลีกที่อยู่ในมาเลเซียส่วนใหญ่เป็นห้างโมเดิร์นเทรด ซีพีเอ็นจึงเล็งเห็นโอกาสในการเข้าไปทำธุรกิจศูนย์การค้า เพราะหากมาดูที่ยอดการใช้จ่ายในธุรกิจค้าปลีกของมาเลเซียถือว่าสูงกว่าประเทศไทยถึง 4 เท่า
นอกจากนี้ มาเลเซียยังมีประชากรมากถึง 29 ล้านคน และเป็นประเทศที่มีอำนาจการซื้อสูงกว่าประเทศไทย เนื่องจากมีรายได้ของประชากรเฉลี่ยสูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่า หรือประมาณ 332,800 บาท ขณะที่ประเทศ ไทยมีค่าเฉลี่ยรายได้ประชากรต่อคนอยู่ที่ประมาณ 176,000 บาท
ด้านของพฤติกรรมผู้บริโภคมาเลเซียเอง ปัจจุบันมีการเข้ามาอาศัยและทำงานในเมืองมากขึ้น ส่งผลให้มีชีวิตที่เร่งรีบและแสวงหาสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น และนิยมไปซื้อของในศูนย์การค้าที่เป็นแบบ One Stop Shop มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ไลฟ์สไตล์ นิยมทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งสินค้าในกลุ่มที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต อาทิ สินค้าแฟชั่น แบรนด์เนม และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจากความนิยมในสินค้าดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตในอัตราสูง จึงถือเป็นอีกปัจจัยหนุน ที่ทำให้ ซีพีเอ็น มีความมั่นใจมากขึ้นในการเข้าไปเปิดศูนย์การค้า
น.ส.วัลยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานพัฒนาธุรกิจและบริหารโครงการก่อสร้าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น กล่าวว่า การรุกตลาดต่างประเทศเป็นอีกก้าวที่ท้าทายของซีพีเอ็น โดยเฉพาะตลาดอาเซียน เนื่องจากในปี 2558 จะเกิดการรวมตัวทางด้านเศรษฐกิจภายใต้การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ซึ่งจะส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็น Single Market ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านจำนวนประชากร การหมุนเวียนของเศรษฐกิจ รวมถึงกำลังซื้อมหาศาลที่เอื้อกับการขยายธุรกิจค้าปลีก
กลยุทธ์ที่ ซีพีเอ็น เลือกนำมาทำตลาดศูนย์การค้าในประเทศมาเลเซีย คือ การสร้างความแตกต่างจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของซีพีเอ็นที่มีกว่า 30 ปีในธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ส่งเสริมความได้เปรียบในการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศ
นอกจากนี้ การได้จับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับบริษัท ไอ-ซิตี้ พร็อพเพอร์ตี้ เซ็นดิเรียน เบอร์หาด หรือ ไอซีพี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ไอ-เบอร์หาด ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมาเลเซีย ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจศูนย์การค้าในมาเลเซีย และปัจจุบันไอซีพีอยู่ระหว่างการทำโครงการ ไอ-ซิตี้
โครงการ ไอ-ซิตี้ ถือเป็นเมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซีย จุดมุ่งหมายของโครงการ คือ การเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ครบวงจร เป็นทั้งย่านธุรกิจหลักของเมือง แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่มีความบันเทิงครบสมบูรณ์แบบ ซึ่งประกอบไปด้วยศูนย์การค้า อาคารสำนักงานไซเบอร์ เซ็นเตอร์ สำนักงานของบริษัทชั้นนำ โรงแรม อาคารที่พักอาศัย พื้นที่ค้าปลีก มี Snow Dome และ Ferris Wheel สถานที่ท่องเที่ยวประดับไฟสวยงามในยามค่ำคืน ล่าสุดมีการสร้างสวนน้ำ และมีแผนที่จะพัฒนา Performing Art Center ในอนาคต สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนมาเลเซีย
สำหรับรูปแบบการเข้าไปทำธุรกิจศูนย์การค้าในมาเลเซีย ซีพีเอ็นได้จับมือกับไอซีพี ร่วมกันเปิดบริษัท เซ็นทรัล พลาซ่า ไอ-ซิตี้ มอลล์ มาเลเซีย จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ "เซ็นทรัลพลาซ่า ไอ-ซิตี้" ซึ่งจะเป็นศูนย์การค้าในรูปแบบ “รีจินัล มอลล์” แห่งแรกของมาเลเซีย ตั้งอยู่ภายในโครงการไอ-ซิตี้ เมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซีย
น.ส. วัลยา กล่าวว่า หลังจากตั้งบริษัท เซ็นทรัล พลาซา ไอ-ซิตี้ มอลล์ มาเลเซีย บริษัทจะร่วมกับไอซีพี ลงทุนพัฒนาศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ไอ-ซิตี้ รวมมูลค่า 580 ล้านริงกิต หรือประมาณ 5,800 ล้านบาท แบ่งเป็น ไอซีพี ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ที่เหลืออีกประมาณ 60% เป็นการถือหุ้นของซีพีเอ็น
จุดเด่นของศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ไอ-ซิตี้ จะเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ทันสมัยทั้งการช้อปปิ้ง บันเทิง และเป็นศูนย์กลางการพบปะของชุมชนในเขตตะวันตกของรัฐสลังงอร์ ตั้งอยู่บนที่ดินฟรีโฮล์ดขนาดกว่า 28 ไร่ มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 278,000 ตารางเมตร และมีพื้นที่ขายประมาณ 89,700 ตารางเมตร
ในส่วนของการก่อสร้าง ซีพีเอ็นจะเป็นผู้ควบคุมการออกแบบ พัฒนาศูนย์การค้าและบริหารศูนย์การค้าแห่งนี้ในฐานะบริษัทบริหารศูนย์การค้า โดยจะนำความแตกต่างและแปลกใหม่ไปสู่วงการค้าปลีกของมาเลเซีย ทั้งแบรนด์ชั้นนำของไทย และนวัตกรรมการออกแบบศูนย์การค้าที่จะทำในคอนเซ็ปต์ “ASEAN GLORY” @ CentralPlaza i-City เส้นสายและแสงสีแห่งความยิ่งใหญ่ของ ASEAN ออกแบบให้มีเส้นสายที่เปล่งประกาย โดยใช้เส้นแสงของไฟในงานออกแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับความยิ่งใหญ่ของภูมิภาคอาเซียนภายหลังจากเปิดเออีซี
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของเซ็นทรัลพลาซา ไอ-ซิตี้ จะเป็นกลุ่ม Middle to High Income หรือกลุ่มที่มีอำนาจการซื้อสูงในเมืองชาห์อลัม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐสลังงอร์ โดยปัจจุบันเมืองดังกล่าวมีประชากรมากกว่า 600,000 คน และมีการเติบโตของกลุ่มคนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงอย่างรวดเร็ว ขณะที่รัฐสลังงอร์เองก็มีประชากรมากกว่า 5 ล้านคน และกลุ่มเป้าหมายในเมืองใกล้เคียงอย่างเมืองกลัง และกัวลาลัมเปอร์
หลังจากเริ่มดำเนินการก่อสร้างศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ไอ-ซิตี้ ในปี 2557 ซีพีเอ็นคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2559 ช่วงเวลาดังกล่าว ซีพีเอ็นก็มีแผนที่จะเดินหน้าเปิดศูนย์การค้าในมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้น ซีพีเอ็นวางเป้าหมายไว้ว่าในอนาคตจะต้องมีศูนย์การค้าเซ็นทรัลในมาเลเซียไม่ต่ำกว่า 10 สาขา
ขณะที่แผนอีก 5 ปีข้างหน้า ซีพีเอ็นมีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าใน 3 ประเทศรวมกัน คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม อีกประมาณ 2-3 สาขา โดยหลังจากเข้าไปเปิดตลาดศูนย์การค้าได้ครบทั้ง 3 ประเทศ ซีพีเอ็นก็มีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าในแต่ละประเทศไม่ต่ำกว่า 10 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาคาดว่าจะใช้งบลงทุนที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับสาขาแรกที่เปิดในมาเลเซีย โดยแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ซีพีเอ็น เีรียกว่า "กลยุทธ์ไดมานิก"
สาเหตุที่ทำให้ ซีพีเอ็น มั่นใจปักหลักเข้าไปลงทุนศูนย์การค้าในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพราะทั้ง 3 ประเทศเป็นประเทศที่มีศักยภาพ และเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดี ประชาการในประเทศมีกำลังซื้อสูง ขณะเดียวกันทั้ง 3 ประเทศยังมีจำนวนประชากรสูง โดยในส่วนของประเทศมาเลเซียมีประชากร 29 ล้านคน อินโดนีเซีย 300 ล้านคน และเวียดนาม 90 ล้านคน
น.ส.วัลยากล่าวว่า การเข้าไปลงทุนศูนย์การค้าในแต่ละประเทศ บริษัทจะไปในรูปแบบของการเข้าไปจับมือร่วมกับพันธมิตรในประเทศนั้นๆ ซึ่งแต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องมีพันธมิตรเพียงรายเดียว เนื่องจากบริษัทต้องการนักลงทุนที่หลากหลายและมีความแข็งแกร่ง เพื่อผลักดันให้ธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศนั้นๆ ประสบความสำเร็จ
ข่าวเด่น