แม้ว่าขณะนี้ภาครัฐยังไม่ประกาศปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟื่อย 0-5% อย่างเป็นทางการ แต่ในส่วนของภาคเอกชนอย่างศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ก็เตรียมขานรับนโยบายดังกล่าวอย่างทันท่วงที ด้วยการขนสินค้าแบรนด์ดังกว่า 30 แบรนด์ เข้ามาเปิดให้บริการภายในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ หรือร้านอาหาร
จากจำนวนสินค้าแบรนด์ดังที่เตรียมนำเข้ามาเปิดให้บริการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ได้จับมือกับผู้ประกอบการสินค้าแบรนด์ดัง ใช้งบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ในการปรับปรุงพื้นที่ โดยในปลายปีนี้จะเริ่มได้เห็นสินค้าแบรนด์ดังทยอยเข้ามาเปิดให้บริการในรูปแบบต่างๆ
สินค้าแบรนด์ดังที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ภูมิใจที่จะมาเสนอครั้งนี้ ประกอบด้วย "เซโฟร่า" แบรนด์เครื่องสำอางสุดฮอตจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนอกจากมีสาขาจำนวนมากในประเทศฝรั่งเศสแล้ว ปัจจุบัน เซโฟร่า ยังมีสาขาในทั่วโลกมากกว่า 1,500 สาขา ใน 28 ประเทศ ในส่วนของประเทศไทย เซโฟร่า จะเปิดให้บริการแบบแฟล็กชิปสโตร์ บนพื้นที่ 650 ตร.ม. บริเวณชั้น 1 ของศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งในส่วนของสินค้าที่นำเข้ามาให้บริการจะมีประมาณ 1,500 รายการ
นอกจากนี้ยังมี "วิคตอเรีย ซีเครท บิวตี้ แอนด์ แอ็คเซสเซอรี่" แบรนด์ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว น้ำหอม และเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งจะตั้งอยู่บนพื้นที่ 150 ตร.ม. บริเวณชั้น 1 และเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับสาขาแฟล็กชิปสโตร์ในประเทศไทย วิคตอเรีย ซีเครท แอนด์ แอ็คเซสเซอรี่ ได้มีการตกแต่งร้านให้มีความสวยงามหรูหรา พร้อมนำจอแอลอีดีขนาดยักษ์มาติดตั้งบริเวณหน้าร้าน เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับร้านของตัวเอง
"พูลแอนด์แบร์" ถือเป็นสินค้าแฟชั่นแบรนด์ดังอีกหนึ่งแบรนด์ที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ตั้งใจจะนำเข้ามาเปิดให้บริการบนพื้นที่ 550 ตร.ม.บริเวณชั้น1 แบรนด์พูลแอนด์แบร์ ถือเป็นสินค้าในเครือ อินดิเท็กซ์ กรุ๊ป ที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งในส่วนของ อินดิเท็กซ์ กรุ๊ป นอกจากจะเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์ พูลแอนด์แบร์ ยังเป็นเจ้าของแบรนด์ซาร่าอีกด้วย
นางแคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า นอกจากจะมีสินค้าแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดภายในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านความล้ำเทรนด์แล้ว ยังจะมีแบรนด์ดังอย่าง Club21 เข้ามาเปิดให้บริการในบริเวณชั้น 1 แบรนด์ A/X เข้ามาเปิดแฟล็กชิปสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รวมไปถึง แบรนด์ DKNY Jeans และ edc เข้ามาเปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ภายในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์อีกด้วย
จากความสำเร็จหลังจากการปรับภาพลักษณ์ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ให้มีความเหมาะสมกับการเป็นศูนย์การค้าเทคโนโลยีแห่งการช้อปปิ้งที่ทันสมัย บริษัท สยามพิวรรธน์ จึงตัดสินใจสร้างพื้นที่สำหรับ Pop up shop รวมกว่า 20 จุด เพื่อนำเสนอเทรนด์ใหม่ๆ ทั้งแบรนด์ชั้นนำระดับอินเตอร์แบรนด์ และแบรนด์ไทยที่กำลังได้รับความนิยม
หลังจากการปรับโฉมใหม่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ปัจจุบันมีพื้นที่ขายอยู่ที่ประมาณ 40,000 ตร.ม.มีร้านค้าแบรนด์ดังเข้ามาร่วมจำหน่ายสินค้ากว่า 250 แบรนด์ ซึ่งจากความนิยมของศูนย์การค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้ามาติดต่อขอจำหน่ายสินค้าภายในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์กว่า 100 ราย
นอกจากจะขนสินค้าแบรนด์ดังมาจำหน่ายภายในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์แล้ว บริษัทสยามพิวรรธน์ ยังได้เตรียมใช้งบกว่า 200 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมการตลาดในช่วงไตรมาส 4 นี้ โดยเริ่มจากกิจกรรม “Idea Avenue : Trend” นิทรรศการที่รวบรวมเทรนด์โลกและเทรนด์ในประเทศไทย ทั้งเรื่องแฟชั่นและสไตล์,เทรนด์การแต่งหน้า,เทรนด์ผม,เทรนด์ศิลปะ และเทรนด์ด้านเทคโนโลยี เพื่อตอกย้ำและแสดงบทบาทของการเป็นเมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์
ช่วงเวลาเดียวกันระว่างเดือน ก.ย.-6 ต.ค.นี้ ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ยังได้มีการจัดโปรโมชั่น “My Style,My Soul ,My Self” ให้ลูกค้าได้ร่วมโหวตร้านค้าในดวงใจ เพื่อรับสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้า และช่วงเวลาเดียวกันระหว่างวันที่ 27-28 ก.ย.นี้ ศูนย์การค้าสยามดิสคัพเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ และสยามพารากอน ยังได้ร่วมกันจัดงาน Fashion Phenomenon Vogue Fashion Night Out 2013 ด้วยการจัดกิจกรรมร่วมกับร้านค้าแบรนด์ดัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย
ขณะที่ช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ จะเป็นช่วงของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลส่งความสุข ด้วยการจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นมากมาย ซึ่งการที่ บริษัท สยามพิวรรธน์ หันมาจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าทุกครั้งที่มีการจัดงาน ร้านค้าภายในศูนย์การค้าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติไม่ต่ำกว่า 20-30%
ปัจจุบัน ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายในวันธรรมดาอยู่ที่ประมาณ 100,000- 120,000 คนต่อวัน ขณะที่วันหยุดจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 150,000 -200,000 คนต่อวัน ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 40% คนไทย 60% ซึ่งในสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ก่อนหน้านี้ ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% เท่านั้น แต่หลังจากปรับโฉมศูนย์การค้าใหม่ ส่งผลให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และในช่วงปลายปีนี้ บริษัท สยามพิวรรธน์ คาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มเป็นกว่า 50%
ปัจจัยที่ทำให้ บริษัท สยามพิวรรธน์ มั่นใจว่า ช่วงปลายปีจะมีสัดส่วนลูกค้าเพิ่มเป็นกว่า 50% เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยจากตัวเลขของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วประมาณ 26 ล้านคน
นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง รัสเซีย และอินเดีย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป ขณะนี้ยังมีสัดส่วนที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะส่วนใหญ่ยังคงประสบกับปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ
นางแคโรไลน์ กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ดี หากภาครัฐมีการปรับอัตราลดภาษีการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเหลือ 0-5% ได้จริง ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากและพร้อมสนับสนุน เพราะประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคค้าปลีก การท่องเที่ยว หรือการก่อสร้าง ซึ่งทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ล้วนแต่ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังทำให้ภาคธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยสามารถแข่งขันราคาสินค้าแบรนด์เนมสู้กับฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ แต่หลังจากมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยจะมีการปรับลดราคาสินค้าแบรนด์เนมเท่าไหร่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของแบรนด์สินค้าว่าจะคำนวนต้นทุนและต้องการกำไรมากน้อยแค่ไหน
แต่อย่างไรก็ตาม ในด้านของภาคธุรกิจค้าปลีกหลังจากปรับลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟื่อยเหลือ 0-5% นางแคโรไลน์เชื่อว่า จะส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกมีอัตราการเติบโตได้ถึง 1 เท่าตัว เพราะนอกจากจะดึงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาซื้อสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยแล้ว ยังสามารถดึงให้นักช้อปไทยหันมาซื้อสินค้าแบรนด์เนมในประเทศได้อีกด้วย
ข่าวเด่น