ยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรงสำหรับตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม แม้ว่า ณ เวลานี้ จะไม่ใช่หน้าขายสินค้า แต่ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งตลาดน้ำอัดลม อย่างเป๊ปซี่และโค้ก ยังคงออกมาแข่งขันกันทำการตลาดอย่างดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบรรจุภัณฑ์ หรือสินค้ารสชาติใหม่
ล่าสุด ทั้ง 2 ค่าย เริ่มหันมาแข่งกันในด้านของนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของสินค้า โดยในส่วนของโค้กออกมาเปิดตัว ผลิตภัณฑ์โค้กรุ่นพิเศษสำหรับคนไทย ด้วยการประทับชื่อคนไทยที่ได้รับความนิยมทั้งอดีตและปัจจุบัน รวม 80 ชื่อ มาเอาใจผู้บริโภคคนไทย ขณะที่ค่ายเป๊ปซี่ออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘เมาเทนดิว’ ในประเทศไทย ด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ ‘ขวดนีออน’ สีเขียวสะดุดตา
นายสตีฟ โรมาซานตา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเป๊ปซี่โคล่า กล่าวว่า การออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมในกลุ่มน้ำสี ภายใต้แบรนด์ ‘เมาเทนดิว’ เข้าทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ เพราะสินค้าแบรนด์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก และมีฐานการตลาดที่เข้มแข็งในหลายประเทศ
นอกจากนี้ เมาเทนดิว ยังเป็นแบรนด์น้ำสีอันดับหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากนำ เมาเทนดิว เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ค่ายเป๊ปซี่ คาดว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย เพราะหลังจากเปิดตัวสินค้าเข้าทำตลาดอย่างเป็นทางการ ค่ายเป๊ปซี่ มีแผนที่จะเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ "กล้า ท้า ลอง" (Dare to Do) ทันที เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นไทยที่ชื่นชอบความท้าทาย รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ได้เคยลิ้มลองและชื่นชอบเครื่องดื่ม เมาเทนดิว ในต่างประเทศ
นางสาว ลัดดาวรรณ เลิศวศิน ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมเมาเทนดิว มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต และเทรดดิชันนอลเท ซึ่งในส่วนของรูปแบบบรรจุภัณฑ์จะมีทั้งรูปแบบขวดพีอีที (ขวดเขียวนีออน) และแบบกระป๋อง รวมทั้งสิ้น 4 ขนาด คือ ในรูปแบบขวดเขียวนีออน ขนาด 400 มล., 495 มล. และ 1 ลิตร และในรูปแบบกระป๋องขนาด 245 มล.
ในส่วนของแผนการทำตลาดค่ายเป๊ปซี่ ได้วางแผนโปรโมท เมาเทนดิว ผ่านสื่อและกิจกรรมการตลาดแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อดิจิตอล สื่อกลางแจ้ง สื่อ ณ จุดขายและในร้านค้า ตลอดจนการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ ซึ่งในส่วนของภาพยนตร์โฆษณาจะเน้นการสื่อสารที่สะท้อนภาพไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยมันส์ที่ชื่นชอบความท้าทาย โดยหลังจากเปิดตัว “เมาเทนดิว” เข้าทำตลาด ค่ายเป๊ปซี่มั่นใจว่าจะสามารถกระตุ้นตลาดน้ำอีดลมในกลุ่มตลาดน้ำสี ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าอยุ่ที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท ให้มีความคึกคักมากขึ้น
ก่อนหน้าที่ค่ายเป๊ปซี่จะออกมาเปิดตัวเมาเทนดิวขวดนีออนเข้าทำตลาด ในด้านของโค้กเองก็ได้ออกมาเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ทั้งในรูปแบบขวดและกระป๋อง ที่ประทับชื่อเล่นของคนไทยที่นิยมตั้งกันมากที่สุดเข้าทำตลาด เพื่อให้ตราสินค้าเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค ผ่านชื่อเล่น 80 ชื่อที่นิยมตั้งมากที่สุด
นายคอสตาส เดลิอาลิส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เพื่อตอกย้ำกลยุทธการทำตลาดภายใต้แคมเปญ "ต้องซ่า ต้องกล้า ส่งโค้กให้" (หรือ Share a Coke) ซึ่งเป็นแคมเปญที่ริเริ่มขึ้น เพื่อจะสร้างแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นไทย และคนไทยกล้าที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ และแบ่งปันความสุขกับเพื่อน ครอบครัว และบุคคลอันเป็นที่รัก รวมถึงกล้าผูกมิตรสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น บริษัทจึงได้สร้างสรรค์กระป๋องและขวด PET โค้กรุ่นพิเศษที่ประทับชื่อเล่นคนไทย ถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์และความรู้สึกชื่นชม เพื่อเชิญชวนคนไทยให้หาชื่อขวดหรือกระป๋องโค้กที่มีชื่อหรือถ้อยคำตรงใจดังกล่าว แล้วส่งโค้ก ส่งความรู้สึกดีๆ เพื่อแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขแด่เพื่อน คนรัก สมาชิกในครอบครัว คนที่อยากรู้จัก หรือคนที่แอบชื่นชม
หลังจากเปิดตัวแคมเปญ "ต้องซ่า ต้องกล้า ส่งโค้กให้" เข้าทำตลาด นายคอสตาส กล่าวว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูง และถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดน้ำอัดลมในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย อังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส บราซิล เยอรมนี ออสเตรีย กรีซ หรืออิสราเอล
สำหรับประเทศไทยได้พัฒนาคอนเซ็ปต์และปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการแบ่งปันความสุขของคนไทย เนื่องจากปกติแล้ว คนไทยมักจะไม่ค่อยกล้าแสดงความรู้สึกในใจให้ใครรับรู้ง่ายๆ ถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์และความรู้สึกชื่นชมบนบรรจุภัณฑ์รุ่นพิเศษของโค้ก จึงน่าจะเป็นแนวทางหนึ่งให้คนไทยใช้แสดงความรู้สึกดีๆ แก่กัน ในรูปแบบที่ซ่าและกล้าสไตล์โค้ก
ปัจจุบันโค้กรุ่นพิเศษ สามารถหาซื้อได้แล้วในช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนียนสโตร์ และเทรดดิชั่นนอลเทรดทั่วประเทศ ทั้งในรูปแบบกระป๋องขนาด 325 มิลลิลิตร และขนาด 240 มิลลิลิตร (เฉพาะภาคใต้) ขณะที่รูปแบบขวด PET จะมีจำหน่ายทั้งขนาด 445 มิลลิลิตร 450 มิลลิลิตร 590 มิลลิลิตร 1.25 ลิตร และ 1.5 ลิตร
พร้อมกันนี้ ค่ายโค้ก ยังได้เตรียมงบกว่า 140 ล้านบาท เพื่อจัดทำกิจกรรมสื่อสารการตลาดกับผู้บริโภคอย่างครบวงจร ได้แก่ โฆษณาชุด “เฟิร์น” ในรูปแบบความยาว 45 วินาที และ 30 วินาที รวมถึงสื่อดิจิตอล โซเชียลมีเดีย และกิจกรรมภาคสนามต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงโปรโมชั่นสุดซ่า
นายคอสตาส กล่าวต่อว่า นอกจากจะประทับชื่อคนไทยที่ได้รับความนิยมทั้งอดีตและปัจจุบันรวม 80 ชื่อแล้ว ค่ายโค้กยังมีการประทับคำชมแสดงความรู้สึกบนขวดและกระป๋องโค้ก เช่น คนสวย คนหล่อ รวมทั้งใช้ชื่อคนไทยที่พ่อแม่นิยมตั้งให้ลูก 10 ชื่อ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เช่น เมย์ พลอย แนน ไอซ์ แบงก์ มาย น้ำ ฟ้า นิว บอล เบียร์ แอน เฟิร์น และปู เป็นต้น
นอกจากนี้ ค่ายโค้กยังชวนผู้บริโภคสามารถร่วมกิจกรรมสะสมชื่อและถ้อยคำบนเครื่องดื่มโค้ก ด้วยกติกาง่ายๆ เพียงเข้าไปลงทะเบียนเพื่อร่วมสนุกที่ www.iCoke.co.th แล้วสะสมบรรจุภัณฑ์ฉลากพิเศษของเครื่องดื่มโค้กที่มีวางจำหน่ายในเมืองไทย ทั้งกระป๋องและขวด PET ผู้ที่สะสมชื่อ และถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์และความรู้สึกชื่นชมได้หลากหลายที่สุด 5 อันดับแรกประจำเดือน ต.ค. และ พ.ย. จำนวน 1 รางวัล 2 ที่นั่ง โดยผู้บริโภคสามารถเลือกรับรางวัลเป็นแพ็คเกจทัวร์พิเศษชมฟุตบอลโลกกันถึงขอบสนามที่บราซิล หรือรับบัตรชมคอนเสิร์ตระดับโลกที่ประเทศอังกฤษ พร้อมแพ็คเกจทัวร์รวมมูลค่ารางวัลกว่า 4 ล้านบาท
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจโคคา โคลา ในประเทศไทย เป็นผู้นำในตลาดธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลม มูลค่าประมาณ 44,000 ล้านบาทในประเทศไทย ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ข้อมูลจาก เดอะนีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช ระบุ แบรนด์โค้กในประเทศไทย มีอัตราเติบโตกว่า 21% มีส่วนแบ่งในตลาดทั้งน้ำสีและน้ำดำ 56.7% หลังจากบรรลุเป้าหมายสำคัญทำยอดขายได้เกิน 30,000 ล้านบาท ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดน้ำอัดลมรวมช่วงครึ่งปีแรกมีอัตราเติบโตประมาณ 7%
ไม่ว่าใครจะออกมาทำกิจกรรมการตลาด หรือเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ สิ่งที่สัมผัสได้ในขณะนี้ คือ ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมยังคงมีความคึกคัก แต่ใครจะทำการตลาดได้โดนใจผู้บริโภค คงต้องมีการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
ข่าวเด่น